นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการจัดอันดับความสามารถแข่งขันของไทยโดยสถาบัน IMD ล่าสุด ประเทศไทยถูกจัดอันดับลดลง 3 อันดับ จาก อันดับที่ 27 ตกไปอยู่ที่ 30 หรือ เท่ากับ อันดับหลังการปฏิวัติ ว่า สาเหตุหลักคือ ความไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล ซึ่งคงเห็นได้ชัดจากผลงานของรัฐบาลและแนวคิดของผู้นำ อีกทั้ง การขาดดุลงบประมาณ ที่อาจจะมีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งในโครงการประชารัฐ และ ไทยนิยม ไม่ได้เกี่ยวกับการใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานตามที่รัฐบาลแก้ตัว เพราะการเบิกเงินปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้ไปถึงไหน และ ปัญหาความล้าหลังของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นปัญหาหลักที่ ไอเอ็มดีชี้ว่าเป็นสาเหตุทำให้ความสามารถแข่งขันของไทยลดลง
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ที่สำคัญ ไอเอ็มดี ได้แนะนำให้ไทยรับรู้การเปลี่ยนแปลงของโลก และ เร่งปรับตัว เพราะการรับรู้และปรับตัวของไทยต่ำมาก ซึ่งตนได้เตือนรัฐบาลมาตลอด และจะเป็นสาเหตุของวิกฤตกบต้มได้เพราะมีความรู้ไม่เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาการวิเคราะห์และคำแนะนำของไอเอ็มดีนี้อย่างละเอียด
“ซึ่งหากจำกันได้ พลเอกประยุทธ์ เคยขึ้นพูดในเวทีการประชุมนานาชาติในปี 2559 อ้างถึง ไอเอ็มดี จัดอันดับที่ดีขึ้นในขณะนั้น และยังถามในที่ประชุมนานาชาติว่า “พิชัย จบอะไรมา? ถึงมาวิจารณ์เศรษฐกิจ” ซึ่งตนเองจบเศรษฐศาสตร์ จุฬา และ ปริญญาโท เอ็นบีเอ ที่จุฬา ก็อยากขอให้พลเอกประยุทธ์ที่ไม่ได้มีพื้นฐานการศึกษาทางเศรษฐกิจได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของโลกมากๆ จะได้เข้าใจและพัฒนาประเทศในทางที่ถูกต้อง ประชาชนจะได้ไม่ลำบากเหมือนในปัจจุบัน” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันแม้จะดูว่าสูงเมื่อเทียบกับอดีตที่เศรษฐกิจทรุดต่ำมาตลอด 4 ปี ของการปฏิวัติ แต่ก็ยังไม่ได้โตมากนัก เพราะประเทศเพื่อนบ้านเราเศรษฐกิจโตสูงมาตลอดหลายปีนี้ เปรียบได้กับคนป่วยที่พึ่งจะเริ่มหัดเดินได้แต่ยังวิ่งไม่ได้ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านวิ่งมาตลอด 4 ปีแล้ว จึงอยากให้เข้าใจและอย่าดีใจมากเกินจริง โดยนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยจะมุ่งเน้นการปรับตัวของไทยเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อก้าวทันและพัฒนาให้เท่าเทียมหรือสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน