สถิติ 2 เดือนที่ผ่านมา มีผู้เสียหายแจ้งความากกว่า 20,000 คดี มูลค่าเสียหาย กว่า 1500 ล้านบาท
วันนี้ 12 พฤษภาคม 2565 พลตำรวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย ถึงสถานการณ์การระบาดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมทางออนไลน์ ว่า เฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา คือ 1 มีนาคม ถึง 30 เมษายน พบสถิติการร้องทุกข์แจ้งความ เฉลี่ยวันละ 300 คดี ยอดรวมคือ 20,400 คดี ในจำนวนนี้ มีคดีที่มีความเชื่อมโยงกัน 3,285 คดี รวมมูลค่าความเสียหายเกิดขึ้นกว่า 1,500 ล้านบาท ขณะที่ผู้เสียหายส่วนใหญ่ พบว่า ถูกหลอกลวงด้านการเงิน ในกรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นตำรวจสืบสวนพบบัญชีเกี่ยวข้องการกระทำความผิดและได้ขออายัดเงินไปแล้ว 6,405 บัญชี ซึ่งมียอดเงินรวม 1,229,140,173 บาท โดยขณะนี้พบว่า สามารถอายัดเงินไว้ได้ 62,517,510 บาท
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย ผลการหารือแนวทางแก้ไขในเบื้องต้น ด้วยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะออกหลักเกณฑ์เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาบัญชีม้า โดยกำหนดจำนวนบัญชีที่สามารถเปิดได้ , การอายัดแบบจำกัดวงเงิน , การจัดทำฐานข้อมูลกลางเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีม้าระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , ธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอายัดเงินต่างบัญชีธนาคารและระงับบัญชีม้าด้วยหมายเลขบัตรประชาชน, หมายเลขโทรศัพท์, ออกประกาศให้ธนาคารจัดทำช่องทางให้ประชาชนสามารถอายัดเงินได้เองผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารและเชิญคู่กรณีไกล่เกลี่ยภายใน 3 วัน
ด้าน ปปง. จะยึดอายัดทรัพย์สิน , เงินดิจิตอล, ติดตามเส้นทางการเงินที่เข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานอย่างรวดเร็ว และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและการออกประกาศ โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินคดีกับผู้ค้าขายเหรียญแบบ peer-to-peer และการวางแนวทางในการยึดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี่จากผู้กระทำความผิด
ขณะที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ กสทช. จะสนับสนุนด้านงบประมาณ เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยการสร้างกลไล ระบุตัวตนตามตามกฎหมาย โดยออกประกาศให้ใช้วิธีการลงทะเบียนจากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละค่ายโดยตรงเท่านั้นและจำกัดจำนวนซิม หรือหมายเลข 5 หมายเลขต่อผู้ใช้บริการ 1 คน แก้ไขปัญหาการส่งข้อความโฆษณาหรือการปลอมเบอร์โทรศัพท์ ด้วยการโทรผ่านอินเตอร์เน็ต จะมีการบังคับให้แสดงเป็นเลขศูนย์ทั้งหมดหรือไม่ต้องแสดงหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตของประชาชนพร้อมกับระงับเส้นทางการเชื่อมต่อกับตัวแทนเครือข่ายที่ไม่ได้รับความร่วมมือในการระบุตัวตนผู้กระทำผิด
จัดทำฐานข้อมูลกลางเพื่อให้สามารถตรวจสอบชื่อผู้ลงทะเบียนซิมโทรศัพท์และประวัติการรับส่งข้อความสั้นย้อนหลัง เพื่อให้ช่วยในการระบุตัวตนผู้กระทำผิด การแจ้งเตือนและเสริมภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนผ่านแอพฯธนาคาร, แอพฯเป๋าตังค์และข้อความสั้นจากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวย้ำ ด้วยว่า อย่าหลงเชื่อการข่มขู่หรือเชิญชวนลงทุนต่างๆ และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับผู้อื่น โดยง่าย และหากตกเป็นผู้เสียหายขอให้รีบแจ้งความที่สายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่www.thaipoliceonline.com