นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พร้อมผลักดันการปฏิรูปประเทศ เข็น 5 เรื่องให้เห็นผล 8 เดือนก่อนเลือกตั้ง ว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจะปฏิรูปประเทศ ให้เห็นผลภายใน 8 เดือน ก่อนการเลือกตั้ง โดยหนึ่งใน 5 เรื่องนั้น คือการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคมแต่ผมวิเคราะห์ว่า เป็นไปได้ยาก เพราะนโยบายรัฐบาล คสช. นี้เอง ก็มีส่วนเพิ่มความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคม พล.อ.ประยุทธ์พูดบ่อยๆ ว่า ปัญหาต่างๆ ในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลในอดีตก่อนหน้าการปฏิวัติ คสช. ดังนั้น คสช. จึงเป็นพระเอกขี่ม้าขาว เข้ามาช่วยแก้ปัญหา มากกว่าจะเป็นจำเลย
นายธีระชัย กล่าวว่า ยอมรับว่าความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคมนั้น เป็นของที่อยู่คู่กับประเทศไทยมานาน และถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจในอดีตที่ผ่านมา เคยมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเกินกว่าร้อยละ 7 เป็นเวลาต่อเนื่องหลายปี แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำก็ไม่ได้หมดไป กลับมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ แสดงว่าในโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยนั้น การแบ่งสันปันส่วนทรัพยากรโดยกลไกมือที่มองไม่เห็นของระบบตลาดเสรี (ที่เรียก The Invisible Hand) รวมไปถึงการเข้าถึงทรัพยากรของบุคคลต่างระดับนั้น โดยตัวเอง ไม่เอื้ออำนวยต่อการกระจายรายได้ หรือต่อการลดความเหลื่อมล้ำ ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่สามารถปล่อยให้กลไกเศรษฐกิจและสังคมแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำเอง แต่ต้องเป็นตัวจุดชนวนเรื่องนี้
นายธีระชัย กล่าวด้วยว่า มาตรการหลักของรัฐบาลทั่วโลก คือต้องใช้นโยบายภาษี ปฏิรูปภาษี เพื่อให้คนรวยต้องช่วยคนจนมากขึ้น ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ตัวอย่างที่ควรพิจารณาถกแถลง เพื่อนำมาใช้สำหรับประเทศไทย เช่น
1) เปลี่ยนการเก็บภาษีเงินได้สำหรับรายได้จากการลงทุน จากอัตราตายตัวระดับต่ำ ให้เป็นภาษีอัตราก้าวหน้า อาจจะต้องถึงขั้นที่สูงกว่าอัตราภาษีรายได้จากการทำงานปกติ
2) เก็บภาษีจากกิจกรรมในตลาดทุน รวมไปถึงกำไรจากหุ้น
3) ใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มหลายอัตรา โดยกำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยให้สูงกว่าสินค้าทั่วไป
4) สำหรับสินค้าประเภทอวดรวย เช่น ซูเปอร์คาร์ ควรกำหนดอัตราภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้แพงกว่าสินค้าปกติ
5) ปัจจุบันรัฐอนุญาตให้นำเงินที่บุคคลธรรมดาลงทุนในหุ้นบางประเภท และประกันชีวิตประเภทเพื่อลงทุน ยอมให้หักเป็นค่าลดหย่อน กติกานี้ควรลดลง และยกเลิกในที่สุด
6) ปัจจุบันรัฐยกเว้นรายได้ที่เกิดในต่างประเทศ ถ้าไม่นำเข้ามาในประเทศในปีนั้น ควรเปลี่ยนเป็นเก็บเมื่อรายได้เกิดขึ้น เหมือนรายได้ในไทย ฯลฯ
“แต่ตลอด 4 ปี ผมไม่เห็นรัฐบาล คสช. มีการพูดเกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีเหล่านี้เลย นอกจากนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องขยายฐานการเก็บภาษี โดยเริ่มเก็บภาษีสำหรับทรัพย์สินบางอย่างของคนรวย เพื่อเอาเงินมาช่วยคนจน และใช้การเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้า แต่การที่จะทำให้สังคมโดยรวมยอมรับการขยายฐานภาษีไปครอบคลุมเรื่องทรัพย์สินนั้น ควรจะต้องเริ่มต้นเก็บเฉพาะรายการใหญ่ Super size เท่านั้นก่อน เช่น การถือครองที่ดินเกินกว่า 1,000 ไร่ ทรัพย์สินและมรดกมูลค่าเกิน 500 ล้านบาท เพื่อให้เวลาสังคมปรับตัว แล้วจึงค่อยๆ ขยายฐานโดยลดวงเงินลงมา หรือเพิ่มอัตราภาษี หลังจากสังคมเคยชินปรับตัวได้แล้ว 5 ปี 10 ปี 20 ปี เป็นต้น” นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า รัฐบาล คสช. กลับเสนอกฎหมายเก็บภาษีทรัพย์สินเริ่มต้นในวงเงินที่ต่ำ ซึ่งจะมีผลทำให้โครงการขยายฐานภาษีทรัพย์สินกระทบอย่างกว้างขวาง แทนที่จะโฟกัสที่คนรวยจริง กลับกระทบกระเทือนคนหมู่มาก ทำให้ไม่มีเวลาปรับตัว และจะกระทบต่อราคาตลาดของทรัพย์สิน จนเกิดการคัดค้านกฎหมายถึงทุกวันนี้ อำนาจที่จะลดความเหลื่อมล้ำสำหรับสังคมไทยนั้น อยู่ในมือของรัฐบาล รัฐบาลจะต้องกำหนดมาตรการและนโยบาย อันมีผลบังคับการกระจายความมั่งคั่ง แต่ปรากฏว่า แทนที่จะปฏิบัติเข้มต่อบุคคลที่ถือครองที่ดินระดับหมื่นไร่แสนไร่ รัฐบาล คสช. กลับเห็นชอบกรมสรรพากรออกประกาศ ที่ยอมให้มีการโอนที่ดินจากบุคคลธรรมดาเจ้าของเดิม เปลี่ยนกระจายไปในชื่อบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่ได้นับร้อยนับพัน โดยยกเว้นภาษีสำหรับการโอนดังกล่าว!
“ในการลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลควรจะใช้จ่าย เพื่อยกระดับโอกาสเริ่มต้นให้แก่คนไทยทุกคน ควรตั้งเป้าให้ทุกคนมีองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญที่จะช่วยตัวเอง อย่างน้อยตามมาตรฐานขั้นต่ำ เช่น การมีสุขภาพที่ดีแบบพื้นฐาน การศึกษาระดับพื้นฐาน การเข้าถึงข้อมูลของทางราชการ การเข้าถึงบริการสาธารณะ เป็นต้น แต่ปรากฏว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาแต่บ่นเกี่ยวกับการใช้จ่ายของรัฐ” นายธีระชัย กล่าว
ไม่แยกแยะระหว่าง:
– การแจกเงินแบบสังคมสงเคราะห์ เพื่อกระตุ้นอุปโภคบริโภค และเพื่อตัวเลข จีดีพี แบบไฟไหม้ฟาง ที่รัฐบาล คสช. เลียนแบบคุณทักษิณ …
– กับการสร้างโอกาสขั้นพื้นฐานสำหรับชาวบ้านช่วยตัวเอง ซึ่งควรทำให้ชาวบ้านเห็นได้ว่า ไม่ต้องคอยพึ่งการกุศลจากรัฐบาล แต่ตนขยันและขวนขวายแสวงหาเองได้ โดยอาศัยโอกาสขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลจัดไว้ให้
การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคมนั้น จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรม:
– จากผู้ใหญ่ให้ผู้น้อย
– จากการรอความเมตตาและความหวังจากนักการเมือง
ไปเป็นการสร้างความภูมิใจในตัวเอง และการสร้างโอกาสให้คนสร้างตน
นายธีระชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า แต่ในทางกลับกัน นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. นั้น กลับเน้นโครงการที่เอื้อประโยชน์แก่นายทุนระดับชาติ ทั้งที่ประวัติการพัฒนาเศรษฐกิจไทยสำหรับนโยบายทำนองนี้ ปรากฏผลในเชิงประจักษ์ว่า น้ำที่เอ่อล้นจากระดับบน จนถึงขั้นล้นเขื่อนลงไปถึงระดับล่างนั้น เกิดขึ้นน้อยกว่าการสร้างฐานะความมั่งคั่งให้แก่เศรษฐี จึงทำให้มีมหาเศรษฐีไทยติดอันดับโลกมากขึ้นทุกปี และมหาเศรษฐีแต่ละคนรวยขึ้นมากมายทุกปี ในขณะที่ Oxfam จัดอันดับประเทศที่มีปัญหาเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก ไทยได้เลื่อนตำแหน่ง ล่าสุดขึ้นเป็นเลวอันดับสามของโลก
“ถามว่าผมประเมิน พล.อ.ประยุทธ์ จะมีโอกาสสำเร็จแค่ไหน ในการปฏิรูปประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ให้เห็นผลภายใน 8 เดือน ก่อนการเลือกตั้ง? ผมตอบว่า 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาล คสช. ให้ความสำคัญต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม เพียงแต่ลมปาก การประกาศว่าจะปฏิรูปให้ได้ภายใน 8 เดือน จึงเป็นความหวังที่เลือนลางเต็มที” นายธีระชัย กล่าว
[fb_pe url=”https://www.facebook.com/thirachai.phuvanatnaranubala/posts/1983708974996231″ bottom=”30″]