ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์บทความผ่านเฟสบุ๊ค ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์‘ ภายใต้ชื่อเรื่อง “เบื้องลึกประมูลรถเมล์เอ็นจีวี ที่คนไทยต้องรู้” โดยระบุว่า เมื่อวานนี้ (วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561) ผมได้โพสต์บทความเรื่อง “ทางออกรถเมล์เอ็นจีวี ไม่ต้องเสียค่าโง่ 1.1 พันล้าน!” โดยได้เสนอทางออกให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพื่อไม่ต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัทที่ชนะการประมูลครั้งที่ 4 นั่นคือบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด จำนวนประมาณ 1,160 ล้านบาท ตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง เนื่องจากถูก ขสมก.บอกเลิกสัญญา หลังจากการยกเลิกการประมูลครั้งที่ 4 ซึ่งเบสท์รินชนะการประมูล ขสมก.ได้เปิดประมูลใหม่ แต่ล้มเหลวอีก 3 ครั้ง จนมาถึงครั้งที่ 8 ปรากฏว่า ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ชนะการประมูล โดยได้ส่งมอบรถให้ ขสมก.แล้ว 100 คัน ทั้งนี้ ขสมก.กำหนดราคากลางไว้ที่ 4,020 ล้านบาท แต่ราคาที่ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์เสนอคือ 4,260 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคากลาง 240 ล้านบาท ต่อมามีบริษัทที่เสียผลประโยชน์จากการประมูลได้ฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้ทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการ ขสมก.ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2560 ที่มีมติอนุมัติให้ ขสมก.ทำสัญญากับ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ นั่นหมายความว่าไม่มีมติดังกล่าวเกิดขึ้น การทำสัญญาระหว่าง ขสมก.กับ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการ ขสมก. เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เนื่องจากศาลได้ไต่สวนพบว่าในการประชุมคณะกรรมการ ขสมก.เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561 ซึ่งมีกรรมการเข้าร่วมประชุม 9 คน จากทั้งหมด 10 คน ไม่มีการลงมติอนุมัติให้ ขสมก.ทำสัญญาซื้อรถเมล์และซ่อมบำรุงรักษากับ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์แต่อย่างใด อีกทั้ง ในการประชุมคณะกรรมการ ขสมก.เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 ซึ่งมีกรรมการเข้าร่วมประชุม 6 คน ปรากฏว่ามีกรรมการเพียง 2 คนเท่านั้นที่รับรองบันทึกการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2560 ที่มีมติอนุมัติให้ ขสมก.ทำสัญญากับ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ แต่มีกรรมการ 3 คน ไม่ยอมรับรองบันทึกการประชุม ส่วนกรรมการอีก 1 คน งดออกเสียง นอกจากนี้ ขสมก.ไม่สามารถแสดงหลักฐานการตรวจรับรถจาก ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ จำนวน 100 คัน ที่วิ่งให้บริการอยู่ในเวลานี้ได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่ากรรมการตรวจรับรถบางคนไม่ยอมลงนามในเอกสารการรับรถ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีมติอนุมัติให้ ขสมก.ทำสัญญากับช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์รองรับนั่นเอง
อะไรทำให้การประมูลจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีต้องล่าช้ามาจนถึงบัดนี้เป็นเวลาถึง 13 ปี ทำไมจึงมีความพยายามเขี่ยเบสท์รินให้ตกไป ทั้งๆ ที่ เบสท์รินเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึง 632 ล้านบาท และเบสท์รินเสนอราคาต่ำกว่า ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ถึง 870 ล้านบาท ทำไมจึงมีความพยายามให้ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์เป็นผู้ชนะการประมูล ทั้งๆ ที่เสนอราคาสูงกว่าราคากลางถึง 240 ล้านบาท อะไรทำให้ ขสมก.ต้องการซื้อรถเมล์เอ็นจีวีที่มีราคาแพงกว่า ประเด็นเหล่านี้น่าติดตามอย่างยิ่ง
น่าสนใจมากว่าใครเป็นคนที่แฝงตัวทำงานนี้ แต่จะเป็นใครก็ตามหาได้ไม่ยากถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอยากจะหา เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ.2519 ที่จะเรียกประธานกรรม กรรมการ ผู้อำนวยการ ขสมก. พนักงานหรือลูกจ้างมาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าวและมีการร้องเรียนว่าการประมูลครั้งที่ 8 เป็นการประมูลที่ไม่โปร่งใส แต่ รมว.คมนาคมได้ใช้อำนาจนี้แล้วหรือไม่ หากยังไม่ได้ใช้ ถามว่าทำไมจึงปล่อยให้เป็นข้อกังขาของสาธารณชน
แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่สายที่ รมว.คมนาคมจะตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงให้เป็นที่ประจักษ์ในประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู ดังนี้
1. ทำไมจึงมีการเชิญชวนให้บริษัทเข้าร่วมประมูลโดยกำหนดให้ยื่นเอกสารภายในระยะเวลาสั้นๆ หากบริษัทใดไม่รู้ข้อมูลล่วงหน้ามาก่อนก็ไม่สามารถเตรียมเอกสารได้ทัน กล่าวคือ ขสมก.ได้มีหนังสือเชิญชวนบริษัทรอบแรก 7 บริษัท เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 โดยกำหนดให้ยื่นเอกสารในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ทำให้มีเวลาเตรียมเอกสารจำนวนมากทั้งเอกสารด้านคุณสมบัติของบริษัท เอกสารด้านเทคนิคและด้านราคาเพียง 10 วันทำการเท่านั้น อนึ่ง ในการเชิญรอบแรกนั้นปรากฏว่ามี ช.ทวีรวมอยู่ด้วย
2. เหตุใด ขสมก.จึงเชิญชวนบริษัทเพิ่มเติมรอบที่ 2 อีกจำนวน 4 บริษัท เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 โดยกำหนดให้ยื่นเอกสารในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 เหมือนเดิม ทำให้มีเวลาเตรียมเอกสารจำนวนมากเพียง 3 วันทำการเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถเตรียมเอกสารจำนวนมากได้ทันแน่หากไม่จับมือร่วมทำงานกับบริษัทที่ได้รับเชิญรอบแรก อนึ่ง ในการเชิญรอบที่ 2 นั้นปรากฏว่ามีสแกนอินเตอร์รวมอยู่ด้วย เมื่อดูระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 พบว่าระเบียบนี้ได้กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการมีหนังสือเชิญชวนบริษัทไม่น้อยกว่า 3 รายเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุใด ขสมก.จึงต้องมีหนังสือเชิญชวนบริษัทเพิ่มเติมรอบที่ 2 อีก 4 ราย ทั้งๆ ที่การเชิญชวนรอบแรกมีจำนวนบริษัท 7 ราย ถูกต้องตามระเบียบดังกล่าวแล้ว
3. อะไรทำให้ ช.ทวีซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับเชิญในรอบแรกและเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ในการให้บริการรถโดยสารต้องยอมจับมือกับสแกนอินเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับเชิญในรอบที่ 2 ตั้งเป็นกลุ่มร่วมทำงานยื่นข้อเสนอให้ ขสมก.คัดเลือก ที่น่าแปลกมากก็คือมี 2 บริษัทนี้เท่านั้นที่เสนอตัวเข้าร่วมประมูลจากจำนวนบริษัทที่ได้รับเชิญทั้งหมด 11 บริษัท แต่บริษัททั้งสองนี้ไม่ได้แข่งขันกันเพราะได้จับมือกันตั้งเป็นกลุ่มร่วมทำงาน เสมือนเป็นบริษัทเดียว หาก 2 บริษัทนี้ไม่จับมือกันตั้งเป็นกลุ่มร่วมทำงาน แต่แข่งขันกันก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ช.ทวีจะเป็นผู้ชนะ เพราะมีความพร้อมและประสบการณ์มากกว่า และที่สำคัญ เคยร่วมประมูลโครงการนี้มาก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงน่าสนใจมากว่าทำไม ช.ทวีจึงยอมให้สแกนอินเตอร์เข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นการแบ่งกำไรให้สแกนอินเตอร์ จากการที่สแกนอินเตอร์สามารถเข้าร่วมกลุ่มกับ ช.ทวีได้จึงน่าจะเป็นคำตอบได้ว่าเหตุใดจึงมีการเชิญสแกนอินเตอร์ในรอบที่ 2 ให้เข้าร่วมประมูลด้วย ส่วนบริษัทอื่นที่ได้รับเชิญไม่เข้าร่วมประมูลด้วย ทราบมาว่าเป็นเพราะไม่สามารถเตรียมเอกสารจำนวนมากได้ทันเวลา
4. ทำไมกรรมการ ขสมก.บางคนจึงมีความพยายามที่จะให้ ขสมก.ทำสัญญาซื้อรถและซ่อมบำรุงกับ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ ทั้งๆ ที่กลุ่มนี้เสนอราคาสูงกว่าราคากลางถึง 240 ล้านบาท และที่สำคัญ หากย้อนดูการประมูลที่ ช.ทวีเคยชนะโดยไม่ได้ร่วมกลุ่มกับสแกนอินเตอร์ พบว่า ช.ทวีเคยเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางโดยเสนอราคา 3,800 ล้านบาท มาครั้งนี้คือการประมูลครั้งที่ 8 ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์เสนอราคาเพิ่มขึ้นเป็น 4,260 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่าที่เคยเสนอไว้เดิมถึง 460 ล้านบาท เหตุใดจึงต้องเสนอราคาเพิ่มสูงขึ้นในขณะที่ราคากลางไม่ได้เพิ่มขึ้น มีความจำเป็นอะไรที่ ช.ทวีต้องร่วมกลุ่มกับสแกนอินเตอร์ และต้องเสนอราคาแพงขึ้น เพราะหาก ช.ทวีไม่ร่วมกลุ่มกับสแกนอินเตอร์โดยยื่นข้อเสนอเพียงบริษัทเดียวไม่มีสแกนอินเตอร์มาพ่วงด้วยในราคาเดิมคือ 3,800 ล้านบาท ก็มีกำไรอยู่แล้ว
สำหรับรถของ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์จำนวน 100 คัน ที่วิ่งให้บริการอยู่ในเวลานี้นั้น ผมขอเสนอให้ ขสมก.ยื่นหลักฐานการตรวจรับรถต่อศาลปกครองกลางหากมีการรับรถแล้วจริง ซึ่งอาจจะทำให้ศาลพิจารณายกเว้นการทุเลาตามมติของคณะกรรมการ ขสมก.ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2560 เฉพาะกรณีนี้ก็ได้ นั่นหมายความการรับรถจำนวน 100 คัน เป็นการรับรถที่ถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมาย พี่น้องประชาชนคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็สามารถใช้รถเมล์ใหม่ได้อย่างสบายใจ
เมื่อไหร่หนอคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะได้ใช้รถเมล์ใหม่กันอย่างทั่วถึงเสียที หากการประมูลจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีทำกันอย่างตรงไปตรงมา ป่านนี้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลคงไม่ต้องทนใช้รถเมล์เก่าที่มีสภาพเสื่อมโทรมมาจนถึงวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าในยุคที่มีนายกรัฐมนตรีที่มีความมุ่งมั่นในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีคนกล้าทำเรื่องที่น่าละอายเช่นนี้ได้
โดยสรุป หากมีการสอบสวนประเด็นดังกล่าวข้างต้นกันอย่างจริงจัง รับรองว่าจะสามารถหาตัวคนที่แฝงตัวทำงานนี้หรือ “ไอ้โม่ง” ได้แน่ และหาได้ไม่ยากด้วย ปัญหาอยู่ที่ว่าอยากจะหาหรือไม่เท่านั้น
[fb_pe url=”https://www.facebook.com/Dr.Samart/posts/1285173501627550″ bottom=”30″]