ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์บทความผ่านเฟสบุ๊ค ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์‘ ถึงกรณีโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี ขสมก. ภายใต้ชื่อเรื่อง “ทางออกรถเมล์เอ็นจีวี ไม่ต้องเสียค่าโง่ 1.1 พันล้าน!” ว่า ผมเขียนบทความนี้โดยมีจุดมุ่งหวังที่จะให้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ใช้รถเมล์ที่มีคุณภาพดีอย่างทั่วถึงภายในเวลาไม่นาน ผมทราบดีว่ารถเมล์ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) ใช้วิ่งรับส่งคนกรุงมีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน ทำให้รถมีสภาพเสื่อมโทรม ขสมก.ได้พยายามจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 แต่มีปัญหาต่างๆ นานา จนถึงรัฐบาลนี้ ปัญหาก็ยังไม่จบสิ้น แม้ว่าต้องการซื้อล็อตแรกเพียง 489 คันเท่านั้น จากทั้งหมด 3,183 คัน ปัญหาก็ยังคงมีอยู่ จนถึงบัดนี้มีการประมูลจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีทั้งหมด 8 ครั้งแล้ว ล้มเหลวไป 7 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 8 ซึ่งผลจากการประมูลปรากฏว่าบริษัท ช.ทวี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน) ชนะการประมูล ทำให้มีรถเมล์เอ็นจีวีใหม่มาวิ่งอยู่บนท้องถนนจำนวน 100 คัน ดังที่เห็นกันอยู่ทั่วไป แต่ยังไม่ครบ 489 คัน ตามที่ต้องการซื้อล็อตแรก แต่ก่อนจะถึงการประมูลครั้งที่ 8 มีการประมูลที่น่าสนใจอย่างมาก นั่นคือการประมูลครั้งที่ 4 ซึ่งบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ชนะ แต่ถูกขสมก.บอกเลิกสัญญา
ดร. สามารถ กล่าวต่อไปว่า เป็นที่รู้กันในวงการผู้ประกอบการรถโดยสารว่า ช.ทวี และเบสท์ริน เป็นคู่แข่งที่หวังจะคว้าชัยชนะจากการประมูลจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ของขสมก. มีการผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนถึงการประมูลครั้งที่ 4 เบสท์รินเป็นผู้ชนะ ด้วยการเสนอราคารถและค่าซ่อมบำรุงรักษาระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินรวมประมาณ 3,389.7 ล้านบาท จากราคากลางประมาณ 4,021.7 ล้านบาท หรือเบสท์รินเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึง 632 ล้านบาท ต่อมาเบสท์รินนำรถเข้ามาจำนวน 489 คัน แต่ได้ส่งมอบให้ขสมก.จำนวน 292 คัน และขสมก.ได้มอบอำนาจให้เบสท์รินนำรถจำนวน 292 คัน ไปจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก โดยมีขสมก.เป็นเจ้าของ ทั้งนี้ก่อนจดทะเบียน ขสมก.ได้ติดตั้งระบบติดตามรถหรือจีพีเอสในรถทุกคันเพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบกที่กำหนดให้ติดตั้งจีพีเอสก่อนจึงจะสามารถจดทะเบียนได้ แต่ต่อมาขสมก.ได้บอกเลิกสัญญากับเบสท์ริน โดยอ้างว่า (1) เบสท์รินส่งมอบรถช้ากว่ากำหนดในสัญญา และ (2) ไม่ได้เป็นรถที่ผลิตในประเทศจีนและประกอบในประเทศมาเลเซียตามที่ระบุไว้ในสัญญา แต่เป็นรถที่ผลิตในประเทศจีนทั้งหมด ทำให้เบสท์รินนำเรื่องนี้ไปฟ้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองกลาง
ดร. สามารถ กล่าวด้วยว่า ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหายให้เบสท์รินเป็นเงินจำนวนประมาณ 1,160 ล้านบาท โดยศาลปกครองกลางมีเหตุผลดังนี้ (1) การที่ขสมก.อ้างว่าเบสท์รินส่งมอบรถช้ากว่ากำหนดนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะขสมก.ได้มีการขยายเวลาการส่งมอบแล้ว และการมอบอำนาจให้เบสท์รินนำรถไปจดทะเบียนโดยมีขสมก.เป็นเจ้าของนั้นถือว่าเป็นการรับรถโดยปริยาย และ (2) ในประกาศประกวดราคาของขสมก.ระบุชัดว่ารถที่จะส่งมอบให้ขสมก.ต้องเป็นรถที่ผลิตในต่างประเทศหรือประกอบในประเทศไทยก็ได้ ดังนั้น หากรถที่นำเข้ามาทั้งหมดเป็นรถที่ผลิตในประเทศจีนก็ไม่ถือว่าเป็นข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญที่จะนำไปสู่การบอกเลิกสัญญา
“เมื่อย้อนดูราคาที่เบสท์รินเสนอต่อขสมก.คือ 3,389.7 ล้านบาท ซึ่งถูกกว่าราคากลางของขสมก.ถึง 632 ล้านบาท เป็นค่าซื้อรถ 489 คัน และค่าบำรุงรักษารถระยะเวลา 10 ปี หรือคิดเป็นราคาต่อคันได้เท่ากับ 6.93 ล้านบาท พบว่าถูกกว่าราคาที่ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์เสนอต่อขสมก.ในการประมูลครั้งที่ 8” ดร. สามารถ กล่าว
กล่าวคือช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์เสนอราคา 4,260 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่าราคากลางถึง 240 ล้านบาท เป็นราคารถจำนวน 489 คัน พร้อมค่าบำรุงรักษารถระยะเวลา 10 ปี เหมือนกัน หรือคิดเป็นราคาต่อคันได้เท่ากับ 8.71 ล้านบาท นั่นหมายความว่าราคาของเบสท์รินถูกกว่าราคาของช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ถึงคันละ 1.78 ล้านบาท ดังนั้น หากขสมก.ซื้อรถจากเบสท์รินทั้งหมด 489 คัน จะทำให้ประหยัดงบประมาณได้ถึง 870 ล้านบาท ดร. สามารถ กล่าว
ดร. สามารถ กล่าวต่อว่า แต่น่าแปลกมากที่ได้มีความพยายามบอกเลิกสัญญากับเบสท์ริน จนถูกศาลปกครองกลางสั่งให้ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหายให้เบสท์รินถึงประมาณ 1,160 ล้านบาท ดังกล่าวแล้วข้างต้น ในขณะที่กรณีของช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ซึ่งเสนอราคาแพงกว่าถึงคันละ 1.78 ล้านบาท รวม 489 คัน เป็นเงินที่แพงกว่าถึง 870 ล้านบาท และที่สำคัญ ราคาของช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์สูงกว่าราคากลางของขสมก.ถึง 240 ล้านบาท แต่กลับมีความพยายามเร่งรัดให้มีการทำสัญญา ทั้งๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีมติของคณะกรรมการขสมก.อนุมัติให้ขสมก.ทำสัญญากับช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ จนถูกศาลปกครองกลางสั่งให้ทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการขสมก.ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2560 เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น นั่นหมายความว่าไม่มีมติของคณะกรรมการขสมก.ที่อนุมัติให้ขสมก.ทำสัญญาซื้อรถเมล์กับช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์เกิดขึ้นในการประชุมดังกล่าว สำหรับรายละเอียดของประเด็นนี้ผมจะนำเสนอในบทความต่อไป
ดร. สามารถ กล่าวทิ้งท้ายว่า เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ผมขอเสนอให้ขสมก.รับรถของเบสท์รินจำนวน 292 คัน ซึ่งขสมก.ได้มอบอำนาจให้เบสท์รินไปจดทะเบียนโดยมีขสมก.เป็นเจ้าของแล้ว จะทำให้ขสมก.ไม่ต้องเสียค่าโง่ 1,160 ล้านบาท และจะทำให้คนกรุงมีรถใหม่ใช้ได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขให้เบสท์รินชำระภาษีให้ถูกต้องตามที่ถูกกล่าวหาว่าเบสท์รินสำแดงแหล่งกำเนิดของรถอันเป็นเท็จ
“ทั้งหมดนี้ ด้วยความหวังที่อยากให้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ใช้รถเมล์ที่มีคุณภาพดีอย่างทั่วถึงในอนาคตอันใกล้ และที่สำคัญ จะต้องเป็นรถที่ได้มาจากการประมูลที่โปร่งใส ในราคาที่เป็นธรรม และประหยัดงบประมาณของประเทศ” ดร. สามารถ กล่าว
[fb_pe url=”https://www.facebook.com/Dr.Samart/posts/1284492815028952″ bottom=”30″]