ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 มี.ค. 2564) ปิดที่ 1,564.25 จุด ลบ 2.11 จุด หรือ 0.13% มีมูลค่าการซื้อขาย 93,389.74 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายต่อเนื่องหลังชาติตะวันตกคว่ำบาตรจีน

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งแคบ โดยดัชนีเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยได้แรงหนุนเล็กน้อยจากผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยการอนุมัติเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย
ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างติดลบกันเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ก็ติดลบด้วย จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากชาติตะวันตกร่วมกันคว่ำบาตรเพื่อลงโทษจีนกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ในซินเจียง ทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นจีน ปรับตัวลงตั้งแต่เช้าและฉุดให้ตลาดอื่นในภูมิภาคลงไปด้วย
อย่างไรก็ดี ให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้ว่าจะมีมุมมองด้านเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั้งในประเทศ และต่างประเทศยังถ่วงตลาดอยู่ โดยในประเทศมีเรื่องการฉีดวัคซีนโควิดที่ดูจะล่าช้า ทำให้วิตกการเปิดประเทศจะล่าช้าไปด้วย ส่วนในยุโรปก็มีเรื่องการล็อกดาวน์ อย่างเยอรมนีได้ขยายเวลาการล็อกดาวน์ออกไปอีกราว 1 เดือน
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (24 มี.ค.) นายศราวุธ กล่าวว่า ตลาดฯ คงจะแกว่งแคบคล้ายคลึงกับวันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,555 จุด ส่วนแนวต้าน 1,570-1,580 จุด ขณะที่ ธปท. ร่วมกับกระทรวงการคลัง และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เสนอ 2 มาตรการใหม่ เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจให้พร้อมรับมือกับโลกยุคหลัง COVID-19 เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการระบาดของ COVID-19 นับตั้งแต่ปี 2563 แม้ปัจจุบันจะทยอยฟื้นตัวได้ แต่ต้องใช้เวลา โดยคาดว่าเศรษฐกิจกลับสู่ระดับก่อน COVID-19 ได้ในไตรมาส 3 ปี 2565 นอกจากนี้ การฟื้นตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ยังไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักที่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว อาทิ กลุ่มท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งมีการจ้างงานสูงกว่า 10 ล้านคน และต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเข้าใกล้ระดับก่อนการระบาด สถานการณ์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและยังมีความไม่แน่นอนสูงดังกล่าว ทำให้ภาคธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น รวมถึงบางส่วนที่มีหนี้เดิมค้างชำระอยู่ อาจมีข้อจำกัดในการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ยังไม่สามารถประเมินรายได้และกระแสเงินสดได้
การให้ความช่วยเหลือเยียวยาระยะสั้นของภาครัฐแก่ลูกหนี้ในปัจจุบัน ผ่าน “พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft Loan)” ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 จึงยังไม่เพียงพอรองรับสถานการณ์ที่ยาวนานกว่าที่คาดไว้ ธปท. และกระทรวงการคลัง จึงเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการออกมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม โดยคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบต่อร่าง “มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการฟื้นฟูฯ)” วงเงินรวม 350,000 ล้านบาท มีระยะเวลาเบิกเงินกู้ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ และขยายต่ออายุได้อีก 1 ปีหากมีเหตุจำเป็น
มาตรการฟื้นฟูฯ นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพให้สามารถประคับประคองกิจการ พยุงระดับการจ้างงาน และมีโอกาสในการฟื้นฟูศักยภาพ รองรับโลกยุคหลังวิกฤต COVID-19 โดยออกแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความเสี่ยงในปัจจุบัน และมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้รองรับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงครอบคลุมการแก้ปัญหาให้กลุ่มลูกหนี้ที่มีความจำเป็นต่างกันในแต่ละภาคธุรกิจ โดยในการจัดทำมาตรการในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคสถาบันการเงิน และภาคเอกชน อาทิ หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและสอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจำแนกมาตรการเป็น 2 หมวด ตามลักษณะปัญหาที่ต่างกัน ดังนี้
1. มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท มุ่งเน้นให้สถาบันการเงินส่งผ่านสภาพคล่องดังกล่าวแก่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบแต่ยังมีศักยภาพ ซึ่งได้ปรับปรุงข้อจำกัดจากมาตรการครั้งที่แล้ว โดยขยายขอบเขตลูกหนี้ให้ครอบคลุมทั้งลูกหนี้รายเดิมและลูกหนี้รายใหม่ที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เพื่อให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น พร้อมกับรองรับการฟื้นตัวที่ต้องใช้เวลา ด้วยการปรับเพิ่มวงเงินกู้ให้สูงขึ้น ขยายระยะผ่อนชำระให้ยาวขึ้น และกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เอื้อต่อการฟื้นฟูกิจการยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ภาครัฐยังสนับสนุนกลไกการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ ธปท. สนับสนุนสภาพคล่องต้นทุนต่ำแก่สถาบันการเงินเพื่อให้เกิดการส่งผ่านสภาพคล่องไปยังกลุ่มเป้าหมาย
2. มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท มุ่งเน้นในการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว แต่ยังมีศักยภาพและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ด้วยการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินเพื่อหยุดหรือลดภาระหนี้ภายใต้เงื่อนไขสัญญามาตรฐานที่กำหนด อาทิ ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์คืนเป็นลำดับแรกในราคาต้นทุน ภายในระยะเวลา 3-5 ปี เท่ากับราคาตีโอนบวกด้วยต้นทุนการถือครองทรัพย์ (carrying cost) ร้อยละ 1 ต่อปีของราคาตีโอน และต้นทุนในการดูแลรักษาทรัพย์ตามที่จ่ายจริงและสมควรแก่เหตุ โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอเช่าทรัพย์กลับมาดูแลหรือเปิดดำเนินการและสถาบันการเงินจะนำค่าเช่าที่ได้รับไปหักออกจากราคาที่ขายคืนทรัพย์ให้กับลูกหนี้ เพื่อช่วยรักษาโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ถูกกดราคาบังคับขายทรัพย์ (fire sale) สามารถกลับมาสร้างงานและทำรายได้อีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ทั้งนี้ ธปท. ให้การสนับสนุนสภาพคล่องต้นทุนต่ำแก่สถาบันการเงินเท่ากับมูลค่าทรัพย์ที่สถาบันการเงินและลูกหนี้แต่ละรายตกลงร่วมกัน และภาครัฐสนับสนุนยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาษีและค่าธรรมเนียมในการตีโอนทรัพย์ ทั้งขารับโอนและขายคืนให้กับลูกหนี้รายเดิม
ในการให้ความช่วยเหลือภายใต้มาตรการฟื้นฟูฯ ได้คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรทั้งของภาครัฐและเอกชนให้เกิดประสิทธิผลและมีประโยชน์สูงสุด โดยสภาพคล่องจะถูกส่งผ่านไปยังกลุ่มลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ รักษาการจ้างงาน พัฒนาทักษะแรงงานและปรับรูปแบบธุรกิจ ให้กลับมาสร้างรายได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ ธปท. และ ภาครัฐยังมีนโยบายลักษณะอื่นเพื่อรองรับความต้องการที่ต่างกัน อาทิ กลุ่มรายย่อยที่ขาดสภาพคล่องชั่วคราว ภาครัฐมีนโยบายเสริมสภาพคล่อง โดยเพิ่มรายได้ผ่านโครงการต่าง ๆ สำหรับกลุ่มที่ต้องแก้ไขหนี้เดิม มีมาตรการพักหนี้ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อเร่งบรรเทาปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว นอกจากนี้ ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การปรับฐานและอัตราการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและมีปัญหาในการชำระหนี้ เพื่อช่วยลดภาระและสร้างความเป็นธรรมในการใช้บริการทางการเงินของประชาชน รวมถึงลดการเกิดหนี้ด้อยคุณภาพในระบบการเงิน
ที่ผ่านมา ภาครัฐ สถาบันการเงินในฐานะเจ้าหนี้ และสมาคมหรือสภาต่าง ๆ ในฐานะลูกหนี้ ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในการพิจารณาถึงรูปแบบของมาตรการที่เน้นสนับสนุนให้เกิดการส่งผ่านความช่วยเหลือตามกลไกตลาด และประสานประโยชน์ร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและบริบทของเศรษฐกิจไทย ซึ่งทุกฝ่ายมีความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการนี้ โดยธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศ จะเป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจให้กลับฟื้นตัวและแข่งขันได้ เช่นเดียวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่จะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อและตอบสนองนโยบายของรัฐในการลดช่องว่างทางการเงิน นอกจากนี้ ผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพแต่ยังได้รับผลกระทบ จะได้รับประโยชน์จากมาตรการฟื้นฟูฯ เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 และพร้อมกลับมาฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เติบโต แข็งแรง และแข่งขันได้ ทั้งนี้ คาดว่า มาตรการฟื้นฟูฯ จะเริ่มดำเนินการได้เร็วที่สุดภายหลังแล้วเสร็จตามขั้นตอนการออกกฎหมาย
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จำนวน 2 มาตรการ คือ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) และมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) นั้น สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก พร้อมสนับสนุนการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถทำธุรกิจต่อไปได้ ในช่วงที่เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งคาดว่าต้องใช้ระยะเวลาอีกนานในการฟื้นตัว
การจัดทำมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูฯ ในครั้งนี้ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้หารือและรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ภาครัฐในการดูแลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความกังวลของสถาบันการเงิน และสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการได้อย่างตรงจุด นำมาสู่การจัดทำมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจเพิ่มเติม 2 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ ( สินเชื่อฟื้นฟู) ครอบคลุมทั้งการเสริมสภาพคล่อง และการลงทุน เพื่อกลับมาทำธุรกิจตามปกติ (Revive & Restart) วงเงินสนับสนุนดูแลสินทรัพย์ สำหรับธุรกิจโรงแรมและธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรง และประสงค์จะหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว โดยภาครัฐได้ปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงเงินสินเชื่อได้มากขึ้น
มาตรการที่ 2 มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ) ซึ่งเป็นโครงการภาคสมัครใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรงเท่านั้น ซึ่งต้องเป็นกิจการที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยให้ผู้ประกอบการสามารถหยุดการดำเนินกิจการได้ชั่วคราว ด้วยการโอนทรัพย์เป็นหลักประกันไว้กับธนาคาร เพื่อรับสิทธิในการขยายเวลาชำระหนี้ระยะยาว รอเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยไม่สูญเสียกิจการไป ซึ่งจะมีสินเชื่อพิเศษสนับสนุนจากภาครัฐสำหรับดูแลทรัพย์ที่อยู่ในโครงการฯ มาตรการนี้อยู่ภายใต้หลักการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้ตรงตามสถานะธุรกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพสถาบันการเงิน
“สมาคมฯ และธนาคารสมาชิก มีความตั้งใจและความพร้อมในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อช่วยประคับประคองภาคธุรกิจไทยให้สามารถอยู่รอดในช่วงที่ศรษฐกิจรอการฟื้นตัว และกลับมาดำเนินธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต”
สิริวรรณ ลีลาประกอบชัย : ภาพ / เรื่อง

