เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ บิ๊กโจ๊ก กลับมาดำรงตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า คำสั่งของนายกรัฐมนตรี คือ ให้พิจารณาทุกคนที่ค้างอยู่เวลานี้ ถ้าเคลียร์ได้ก็ให้พยายามเคลียร์ออกไป ซึ่งขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 60 คน ส่วนรายละเอียดอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาอยู่ว่ามีใครที่ไม่มีคดี
นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าใครยังมีเรื่องติดอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อาจจะเคลียร์ยาก ถ้าใครไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับ ป.ป.ช.ก็โอเค
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เข้าพบนายวิษณุเป็นระยะๆ
นายวิษณุ กล่าวตอบว่า เขาก็มาทุกอาทิตย์ แต่ไม่ใช่มาเรื่องนี้ และไม่มีการคุยกันเรื่องนี้ เพราะเขาไม่มีสิทธิ์จะพูด

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ กรณีมีข่าว ได้ลงนามในคำสั่งเพื่อโอนย้าย พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลับเข้ารับราชการ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ว่า ไม่ใช่การลงนาม แต่เป็นเรื่องของการทำงาน ที่โยกมา เมื่อสอบแล้วยังไม่ได้ข้อยุติ ก็ส่งกลับไป และไปสอบต่อที่โน่น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ เคยฟ้องนายกฯ
นายกรัฐมนตรี กล่าว “ก็เรื่องของเขา ทางกฎหมายว่าอย่างไร ไม่เกี่ยวกัน”
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าเรื่องใน ตร.เรียบร้อยดีใช่หรือไม่
“จะมีปัญหาอะไรล่ะ ไม่มีปัญหา” นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบ

ซึ่งการโอนกลับมาเป็นข้าราชตำรวจตาม กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการโอนข้าราชการซึ่งไม่ใช่ข้าราชการตำรวจฯมาบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ระบุใว้ว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และมาตรา ๖๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมติ ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๗ ก.ตร. จึงออกกฎ ก.ตร. ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] กฎ ก.ตร. นี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ข้าราชการหรือพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีความประสงค์ขอโอนมารับราชการตำรวจตามมาตรา ๖๓ (๑) ในหน่วยงานใดให้ยื่นคำขอตามแบบท้าย กฎ ก.ตร. นี้
ข้อ ๓ ผู้ที่จะโอนมารับราชการตำรวจ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๔๘ และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งตามที่ ก.ตร. กำหนดไว้ตามมาตรา ๔๕ หรือได้รับอนุมัติจาก ก.ตร. ตามมาตรา ๕๙
ข้อ ๔ ให้ผู้บังคับบัญชาหัวหน้าหน่วยงานที่มีผู้ยื่นคำขอโอน พิจารณารับโอนโดยคำนึงถึงอายุตัว อายุราชการ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ความชำนาญงานของผู้ขอโอนเปรียบเทียบกับข้าราชการตำรวจผู้รับราชการในหน่วยงาน และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการรับโอนผู้นั้นมารับราชการทางสังกัดแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อทางราชการ ให้เสนอตำแหน่งชั้นยศ และอัตราเงินเดือนที่จะใช้รองรับการโอน พร้อมทั้งรวบรวมรายละเอียดข้อมูล หลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติการรับราชการ และประวัติส่วนตัว หน้าที่การงานของตำแหน่งที่จะรับโอน เหตุผลความจำเป็นที่ต้องรับโอน ไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา
ข้อ ๕ การพิจารณาเกี่ยวกับ ตำแหน่ง ชั้นยศ และอัตราเงินเดือนที่จะรับโอนมาบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ ให้พิจารณาดังนี้
(๑) ตำแหน่ง ให้พิจารณาตำแหน่งที่จะรับโอนมาบรรจุและแต่งตั้ง ตามเหตุผลความจำเป็นของการรับโอน
(๒)[๒] ชั้นยศ ให้พิจารณาว่าหากผู้ขอโอนเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจมาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงวันที่จะรับโอนมาเป็นข้าราชการตำรวจ จะได้รับยศชั้นใดตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งยศ ก็ให้รับยศนั้น ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับตำแหน่งที่จะรับโอนด้วย
(๓) เงินเดือน ให้ได้รับอัตราเงินเดือนไม่สูงกว่าอัตราเงินเดือนที่ได้รับขณะรับราชการทางสังกัดเดิมก่อนโอน
ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาราชการ ให้ถือเวลาราชการหรือเวลาทำงานของผู้ที่จะขอโอนในขณะที่เป็นข้าราชการประเภทอื่นหรือพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเวลาราชการของข้าราชการตำรวจตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย
อ่านกฎ ก.ตร. เพิ่มเติม ‘คลิ๊ก’

