ทั้งนี้ มองว่าปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมาของผู้อำนาจ คือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามเงียบ การลดทอนความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม การสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และการขจัดฝ่ายตรงข้ามออกนอกประเทศ แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีการแสดงพลังของคนรุ่นใหม่ นับตั้งแต่วันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา แม้ว่าการคุกคามจะน้อยลง แต่ที่ยังเห็นคือข้อเรียกร้องถูกเพิกเฉย จากการลงพื้นที่สอบถามนักเรียน เยาวชน ของอาจารย์กนกรัตน์พบว่า แม้กลุ่มนักเรียน นักศึกษากลัวที่จะถูกคุกคาม แต่เด็กเกิน 80% ไม่เลิกที่จะมาชุมนุม
นอกจากนี้ ปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบันคือความแตกต่างของ “ชุดความคิด” ของคนทั้งสองกลุ่ม ระหว่างคนรุ่นสงครามเย็นทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย กับคนรุ่นโบว์ขาว ที่คนรุ่นโบว์ขาวไม่เชื่อเรื่องความเป็นชาติแบบเดิม หรืออิทธิพลของต่างชาติกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง เชื่อเรื่องพลักปัจเจกบุคคลในทางการเมือง เชื่อเรื่องความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกันกันองค์กรทางการเมือง รวมถึงเชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงและบทบาทของตนเองในการปฏิรูป ดังนั้น จึงเสนอทางออกของปัญหานี้ คือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในทุกมิติ สร้างสถาบันใหม่เพื่อแบ่งอำนาจและเปิดโอกาสให้มีการสลับสับเปลี่ยนอำนาจ ยอมรับและเปิดพื้นที่ให้กับความแตกต่าง และสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกว่า “ทางแพร่ง” ที่คนทั้งสองกลุ่มต้องร่วมกันแก้ปัญหา