นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานคณะ ทำงานเครือข่ายภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย กล่าวเปิดการเสวนา “จากหนักแผ่นดินสู่โรคชังชาติ : ชาติความเป็นไทย ประชาธิปไตยที่แปรผัน” ว่า ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าที่ใดก็ตามล้วนเป็นพลังที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี อยากเห็นสังคม ที่เป็นธรรมและแบ่งปันกัน อยากเห็นเสรีภาพ อยากเห็นประชาธิปไตย ที่ปราศจากการข่มเหงรังแกและคุกคาม แต่ไม่ว่าเป็นระบอบการปกครองแบบไหนถ้าผู้นำ คิดแต่จะแสวงหาอำนาจ ทรรัฐย่อมเกิดขึ้นได้ ถ้าผู้นำประเทศบรรลุธรรม ผู้นำก็จะไม่เป็นทรราช และจะไม่สร้างทรรัฐ จะมองความชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นความสวยงาม เป็นสำนึกของประชาชนผู้ตื่นรู้ พร้อมเดินหน้าหารือเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง ในกรณีของไทยปัจจุบันนี้ทางออกคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชนเพื่อประชาชน อันเป็นพื้นฐานของสันติธรรมประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภารกิจข้างหน้าของกระบวนการประชาธิปไตยก็คือ จะทำอย่างไรที่จะเอาชนะกระบวนการปรปักษ์ประชาธิปไตย โดยวิธีที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง ความสูญเสีย และตนเห็นว่าทางออกนั้นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตยและมีการขับเคลื่อนให้มีการปฏิรูป ประเทศครั้งใหญ่ด้วย สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่รัฐสภา ไม่ยอมรับหลักการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรก กลับใช้วิธีการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษา ขึ้นมา ทำให้ยืดเวลาออกไปอีก 1 เดือน ซึ่งไม่รู้ว่าผลสรุปจะเป็นเช่นไร ส่วนนี้จึงทำให้ปัญหาต่างๆซับซ้อนขึ้นและเกิดการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้
ดังนั้นจึงขอฝากไปถึงสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ให้เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศ คิดถึงประชาชนมากกว่าตำแหน่งอำนาจและผลประโยชน์ ฉะนั้นการรณรงค์ที่มีขอบข่ายทั่วประเทศ ต้องส่งสัญญาณไปยังผู้มีอำนาจว่า หมดเวลาของรัฐบาลชุดนี้แล้ว ประชาชน ต้องการรัฐธรรมนูญของประชาชนเพื่อประชาชน พร้อมขอย้ำอีกครั้งว่า ทางออกวันนี้คือการแก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ด้วยพลังประชาชน