ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. กล่าวถึงแนวทางกรดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ว่า ในการชุมนุมที่ผ่านมา เดิมที่เราใช้แผนกรกฎ 52 ในการดำเนินการควบคุมสถานการณ์ แต่ด้วยความที่เราใช้มาตั้งแต่ปลายปี 2551 ซึ่งเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงมีการปรับปรุงมาเป็นแผนการชุมนุม 63 ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อีกครั้งในปัจจุบันเรายังคงอยู่ภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าด้วยการป้องการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด19 จึงมีความจำเป็นต้องประสานงานกับหน่วยร่วมปฏิบัติต่างๆ เช่นการตั้งจุดคัดกรอง ประการสำคัญของแผนการชุมนุม 63 จะมีการปรับให้เข้ากับ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ โดยจะมีการกำหนดขั้นตอน ระเบียบ แนวทางการปฏิบัติของผู้เข้าร่วมชุมนุม และแนวทางการปฏิบัติของทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะยังคงยึดแนวทางการดำเนินการจากเบาไปหาหนัก เราไม่ได้มุ่งเน้นในการใช้กำลัง เบื้องต้นได้ทยอยวางกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบไว้ตามพื้นที่ต่างๆ ส่วนการปิดถนนทาง บช.น.ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบไปแล้ว ว่าจะมีการปิดกั้นในบริเวณใดบ้าง สำหรับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ เป็นกำลังของกองร้อยควบคุมฝูงชนทั่วประเทศ โดยใช้กำลังประมาณ 1 หมื่นกว่าคน สำหรับจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมจะมีจำนวนเท่าไหร่ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือว่าแม้จะมีผู้ชุมนุมจำนวนมากแต่ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่กระทบสิทธิ์ของผู้อื่นก็สามารถทำได้ แต่ถ้ามาน้อยแต่ไปละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นหรือละเมิดกฎหมาย ซึ่งจุดนี้เป็นประเด็นสำคัญกว่า ส่วนการเฝ้าระวังบุคคลที่ 3 จะเข้ามาสร้างสถานการณ์ ถือเป็นนโบบายสำคัญของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ที่รับนโยบายมาจากรัฐบาล ที่ต้องดำเนินการดูแลอย่างเต็มที่ หัวใจสำคัญของเจ้าหน้าที่ตำรวจคือการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ทั้งกลุ่มผู้เข้าร่วมชุมนุมและพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป
ด้าน พลตำรวจโทภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงการดูแลความปลอดภัย การชุมนุมในวันที่19-20 กันยายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่า สถานการณ์โดยทั่วไปยังไม่น่าเป็นห่วง และยอมรับว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องการขออนุญาตจัดการชุมนุมต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ส่วนกรณีแผนการดูแลความสงบเรียบร้อยที่จากเดิมมีการกำหนดใช้แผน “กรกฎ52” เป็นแนวทางหลักในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะมีการปรับไปใช้ “แผนชุมนุม 63” ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพิ่งลงนามอนุมัติคำสั่งใช้ไปเมื่อวันที่ 15 กันยายน ชี้แจงว่าแผนที่ปรับเปลี่ยนไป เป็นเพียงกรอบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในสถานการณ์ต่างๆ เท่านั้น เป็นเรื่องภายในของตำรวจ โดยยืนยันว่าในการปฏิบัติก็จะดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กำชับไม่ให้ใช้ความรุนแรงและเน้นย้ำดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไปอย่างเข้มงวด
ส่วนเรื่องการให้ข้อมูลภาพรวมการชุมนุม รวมถึงมาตรการดูแลความปลอดภัยการชุมนุม ตลอด 2 วันนี้ เนื่องจากการชุมนุมไม่ได้จำกัดแค่ในพื้นที่กรุงเทพฯ เพียงที่เดียว แต่มีขึ้นพร้อมกันในหลายจังหวัด ดังนั้นจึงต้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ให้รายละเอียด
สำหรับ แผนรักษาความสงบชุมนุมสาธารณะ หรือ แผนการชุมนุม 63 มีความแตกต่างจากแผนกรกฎ 52 ตรงที่แผนเดิม เป็นเพียงการกำหนดแผนการปฏิบัติของตำรวจ ว่าจะมีกรอบการปฏิบัติต่อสถานการณ์การชุมนุมอย่างไร ส่วนแผนการชุมนุม 63 เป็นการนำแผนการดังกล่าว ยกโครงสร้างไปปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดให้ทันสมัย สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ และนำไปบรรจุในกฎหมาย เพื่อให้มีผลบังคับใช้
หลีกเลี่ยง 11 เส้นทางรอบ มธ.-สนามหลวงที่อาจกระทบ ยังไม่ชัดม็อบมีแผน
พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น.
แนะประชาชน หลีกเลี่ยงเส้นทางการจราจรระหว่างวันที่ 19 – 20 กันยายน 2563 เนื่องจากจะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม และคณะประชาชาปลดแอก บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และอาจมีการเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล โดย9เส้นทาง 2 สะพาน เส้นทางที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ถนนราชดำเนินใน / ถนนหลานหลวง / ถนนราชดำเนินกลาง
/ ถนนดินสอ / ถนนราชดำเนินนอก / ถนนตะนาว / ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า / สะพานพระราม 8 / ถนนวิสุทธิกษัตริย์ / สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า /ถนนจักรพรรดิพงษ์
ส่วนเส้นทางที่แนะนำให้ประชาชนไปใช้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านการจราจร ได้แก่ เส้นทางจากฝั่งพระนคร ไปฝั่งธนบุรี หากลงจากทางด่วนยมราช สามารถเลี่ยงเส้นทางไปใช้ถนนสวรรคโลก เข้าถนนราชวิถี ข้ามสะพานกรุงธนบุรี หรือสะพานซังฮี้
หากมาจากทางถนนพระราม 6 สามารถเลี่ยงเข้าทางถนนพระราม 1 ไปทางถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม เข้าถนนเยาวราช – ถนนจักรวรรดิ์ ไปขึ้นสะพานพระปกเกล้า
หากมาทางถนนพระราม 4 สามารถเข้าทางถนนเยาวราช ไปทางถนนจักรวรรดิ์ เพื่อข้ามสะพานพระปกเกล้า หรือไปทางถนนสาทรใต้ ข้ามสะพานตากสิน ข้ามไปฝั่งธนบุรีได้เช่นกัน
ส่วนเส้นทางที่จะมาจากฝั่งธนบุรี ข้ามไปฝั่งพระนคร หากใช้เส้นคู่ขนานลอยฟ้า สามารถเข้าทางด่วนศรีรัช – ไปแจ้งวัฒนะ หรือ จตุจักร หรือลงถนนสิรินธร ข้ามสะพานกรุงธน หรือสะพานซังฮี้ เพื่อเข้าถนนพระราม 6
หากมาจากทางสะพานพระปกเกล้า สามารถเข้าทางถนนจักรเพชร ไปทางถนนมหาไชย ผ่านแยกสามยอด เข้าถนนเจริญกรุง เพื่อออกไปยังถนนพระราม 4 หรือจากแยกสามยอด เข้าถนนเจริญกรุง ไปทางแยกเอสเอบี ผ่านถนนวรจักร ถนนบำรุงมือง เพื่อเข้าถนนพระราม 1
หากมาทางสะพานพุทธยอดฟ้า ก็สามารถเข้าถนนจักรเพชร ถนนอัษฎางค์ – ถนนบำรุงเมือง ไปถนนพระราม 1
รอง ผบช.น.กล่าวว่า เบื้องต้น จะยังไม่มีการปิดจราจร ยกเว้นกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมเต็มพื้นที่และลงมายังพื้นผิวการจราจร ก็จะเสนอให้มีการปิดการจราจรในจุดนั้น ส่วนกรณีที่มีการเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล อาจจะมีการพิจารณาปิดการจราจรชั่วคราวบางจุด ซึ่งตำรวจเตรียม 2เส้น คือ ถนนราชดำเนินนอก และถนนนครสวรค์ ส่วนกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนขบวนแบบดาวกระจายไปในพื้นที่ต่างๆและอาจมีการเคลื่อนขบวนในเวลากลางคืนนั้น ตำรวจวางมาตรการไว้ตลอด 24 ชม.อยู่แล้วและไม่ว่าจะดาวกระจายไปจุดไหนสามารถรองรับได้ โดยจะใช้กำลังตำรวจจราจร กว่า 300นาย เข้าประจำจุดทันที พร้อมกันนี้ตำรวจได้กำหนดเส้นทาง กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อนำคนเจ็บส่ง รพ.ใกล้เคียงให้เร็วที่สุด ประกอบด้วย ถ.พระอาทิตย์, สนามไชย, และถนนดินสอ เนื่องจากคำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน
ส่วนบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พื้นที่ชุมนุมหลัก ได้กำหนดจุดตรวจคัดกรองไว้ 4 จุด เพื่อตรวจคัดกรองโควิด รวมถึงตรวจอาวุธและสิ่งผิดกฎหมาย โดยจะมีกำลังตำรวจ 16 นาย ปฎิบัตินหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ กทม.และสาธารณสุข
รอง ผบช.น.กล่าวว่า จนถึงขณะนี้แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่ประสานขออนุญาตใช้พื่นที่ชุมนุม หรือใช้เครื่องขยายเสียงในการเคลื่อนขบวน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงอยู่ระหว่างการประสานกับทางแกนนำ ส่วนกรณีประชาชนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดนั้น ยืนยันตำรวจไม่มีการสกัดกั้น เนื่องจากการขุมนุมเป็นสิทธิ์ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย
สำหรับจุดจอดรถของสื่อมวลชน ได้กำหนดไว้บริเวณ ถนนราชินี หน้าโรงละครแห่งชาติและบริเวณใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯยืนยันสามารถรองรับได้เพียงพอ
ส่วนกรณีฝนตกเนื่องจากมีพายุโนอึล และกรุงเทพฯจะได้รับผลกระทบด้วยนั้น ทางตำรวจได้มีการเตรียมความพร้อมเช่นกัน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเตรียมแผนฉุกเฉินแล้ว