หน้าแรกเศรษฐกิจ-การเงินกรุงไทยประเมินพิษโควิด-19 ฉุดรายได้ดีลเลอร์รถยนต์หดตัว 25%

กรุงไทยประเมินพิษโควิด-19 ฉุดรายได้ดีลเลอร์รถยนต์หดตัว 25%

กรุงไทยประเมินพิษโควิด-19 ฉุดรายได้ดีลเลอร์รถยนต์หดตัว 25% คาดใช้เวลาฟื้นตัวไม่ต่ำกว่า 2 ปีแนะผู้ประกอบการใช้เทคโนโลยียกระดับการขายและบริการ

ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มหดตัว 38.2% เหลือเพียง 620,000 คันในปี 2563 จากวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัวอย่างรุนแรงและฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยยอดขายรถยนต์ที่ลดลงมากจะเป็นปัจจัยกดดันหลักให้รายได้ของธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มือหนึ่ง (ดีลเลอร์) มีโอกาสหดตัว 25% คาดผู้ประกอบการราว 1 ใน 3 มีโอกาสเผชิญหน้ากับภาวะกำไรติดลบพร้อมแนะธุรกิจดีลเลอร์เริ่มปรับรูปแบบการขายและบริการเข้าสู่ระบบดิจิทัลเพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนไปในยุค New Normal

ดร.พชรพจน์นันทรามาศผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่ายอดขายรถยนต์ของไทยในปี 2563 ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวรุนแรง (Deep Recession) ที่ 9.1% และฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างมากโดยยอดขายรถยนต์ในประเทศในครึ่งแรกของปี 2563 อยู่ที่เพียง 330,000 คันหดตัว 37.5% ประเมินว่ายอดขายทั้งปีจะอยู่ที่ 620,000 คันหรือหดตัวถึง 38.2% ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจตัวแทนจัดจำหน่ายรถยนต์มือหนึ่ง (ดีลเลอร์) ที่พึ่งพารายได้ส่วนใหญ่เกือบ 85% มาจากการขายรถยนต์

“รายได้ของธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง 25% เทียบกับปีที่แล้วอย่างไรก็ดีต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมดของดีลเลอร์ไม่สามารถปรับลงได้เท่ากับรายได้ที่หายไปส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของผู้ประกอบการมีแนวโน้มแย่ลงจากกำไรที่ 1-1.2% ในช่วงปี 2560-2562 เป็นติดลบ 4.8% ในปี 2563 นอกจากนี้คาดว่าสัดส่วนของผู้ประกอบการที่มีกำไรสุทธิติดลบจะเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปีที่ผ่านมาเป็น 36% ในปีนี้โดยกว่าสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะกลับมาอยู่ในช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 หรือที่ประมาณ 1 ล้านคันจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี”
ดร.มานะนิมิตรวานิชผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเพิ่มเติมว่านอกจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวอย่างรุนแรงที่เข้ามาฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้วธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิม (Brick and Mortar) กำลังเผชิญกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยคาดการณ์ได้ว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเข้าไปยังโชว์รูมน้อยลงการปิดการขายจึงจะยากขึ้นกว่าเดิมภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์เป็นอย่างมากผู้ประกอบการควรรักษาฐานลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่องทำการตลาดเชิงรุกเพื่อรองรับกับ Pent Up Demand ที่อาจกลับมาหลังการแพร่ระบาดคลี่คลายรวมทั้งนำกลยุทธ์ของดีลเลอร์ในต่างประเทศมาประยุกต์ใช้โดยเฉพาะการยกระดับการขายและบริการเข้าสู่ระบบดิจิทัล (Digitalize) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในระยะยาว

“กลยุทธ์ที่ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ควรทำทันทีคือการรักษาความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าเดิมตลอดช่วงของการล็อกดาวน์และการทำตลาดเชิงรุกในการหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ในช่วงหลังคลายล็อกดาวน์ส่วนในระยะยาวนั้นเราแนะนำให้ผู้ประกอบการปรับแนวทางการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยเฉพาะการนำขั้นตอนการขายและบริการเข้าสู่ระบบดิจิทัลเช่นการแสดงหรือรีวิวรถยนต์ในช่องทางออนไลน์ที่มีความคมชัดสูงการนัดทดลองขับ (Test-drive) ณที่พักอาศัยของผู้บริโภคผ่าน Application ไปจนถึงการเพิ่มช่องทางการขายแบบ Omni-channel ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดในยุค New Normal เห็นได้ชัดจากยอดขายของบริษัทที่ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นหลักอย่าง Tesla ที่ติดลบเพียง 5% ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เทียบกับค่ายรถยนต์อื่นๆในสหรัฐฯอย่าง Ford และ GM ที่ลดลงมากกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img