วันที่ 26 มิ.ย.63 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร : นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีสาหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ระหว่างสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.)
นายจุติฯ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังตกอยู่ในสภาวะความท้าทายจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และทำให้สังคมไทยก้าวเข้าสู่ยุคการใช้วิถีชีวิตแบบ New Normal หรือ “ความปกติใหม่” รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดมาตรการในการฝ่าวิกฤต COVID-19 โดยยึดมั่นในหลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (Leave no one behind) มุ่งการยกระดับคุณภาพชีวิตและการลดความเหลื่อมล้าของคนในสังคม นำประเทศไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
(พม.) และ (วช.) ตระหนักถึงความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะคนพิการและผู้สูงอายุ ที่ถือเป็นกลุ่มเปราะบาง โดยร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย (วช.) ในการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการและผู้สูงอายุ ร่วมกันระหว่าง 3 ฝ่าย ได้แก่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) เพื่อผลักดันให้เกิดการนำผลงานนวัตกรรมพร้อมใช้สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย จึงนำไปสู่การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการกำหนดนโยบาย วางแผนการพัฒนางานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการและผู้อายุให้ได้รับการบริการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยการนำองค์ความรู้ต่างๆ ขับเคลื่อนผลงานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยี ไปสู่การขยายผลต่อกลุ่มเป้าหมายและผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้ง ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งนวัตกรรมหุ่นยนต์จะช่วยลดการสัมผัสให้น้อยลง เว้นระยะห่าง ลดการติดเชื้อ และการกระจายแพร่เชื้อได้เป็นอย่างดี
ด้านศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์ว่าการวิจัยและนวัตกรรมถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ สามารถนำพาประเทศหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ำ และกับดักความไม่สมดุลของการพัฒนา รวมถึงทำให้ประเทศสามารถปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างความสามารถในการแข่งขัน อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งในระดับนโยบาย การจัดสรรงบประมาณการวิจัยและนวัตกรรม และการนำเอาผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์
ตลอดจนกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในระดับต่างๆ และด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยประเทศไทยคาดว่าจะเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดในปี 2574 จะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ มีความท้าทายมากขึ้น ในการตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคสูงอายุที่จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของประชากรให้มีคุณภาพและการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการผลิตและการบริการของประเทศจะเป็นความท้าทายสำคัญในระยะต่อไป
(อว.) โดย (วช.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อม และให้ความสำคัญต่อความต้องการของผู้สูงอายุและคนพิการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีวิตประจำวันการส่งเสริมสุขภาพกาย/จิตใจ ด้านสังคม ที่อยู่อาศัยและการดูแลป้องกันและรักษาสุขภาพอนามัย สำหรับผู้สูงอายุและคนพิการให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย โดย (วช.) จะสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ โดยการร่วมกันกำหนดความต้องการ ที่จะนำมาสู่โจทย์หรือกรอบประเด็นสำคัญสำหรับการวิจัย เพื่อให้ได้นวัตกรรมที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ร่วมกันในการสนับสนุนและเป็นผู้นำร่องในการนำไปใช้จริง และร่วมกันในการขยายผลไปสู่กลุ่มเป้าหมาย จนเกิดการใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ภายในพิธี MOU ยังมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การรับมอบนวัตกรรมหุ่นยนต์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ นิทรรศการนำเสนอผลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ เช่นเตียงพลิกตะแคงอัตโนมัติ เครื่องกำจัดกลิ่นเหม็นด้วยสนามไฟฟ้าโคโรนา รถเข็นคนพิการแบบปรับยืนโดยไม่ใช้ไฟฟ้า เป็นต้น