วันที่ 19 มิถุนายน 2563 เวลา 13.00 น. ณ ห้องแแถลงข่าว ตร. : พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.ขส.บช.ปส. หัวหน้าประสานความร่วมมือกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แถลงข่าวผลการปฏิบัติการปราบปรามผู้โพสต์ข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน จำนวน 9 ราย
เนื่องด้วยสภาวะสังคมปัจจุบันภัยอันตรายจาก Internet ได้เพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงรูปแบบตลอดเวลา มีหลายรูปแบบที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้ในการกระทำผิด เช่น สร้าง website ข่าวปลอม ปิดบังตัวตนผู้จดทะเบียน website สร้างความเสียหายต่อความมั่นคง-เศรษฐกิจของประเทศ สร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือหลอกลวงประชาชนโดยผ่านทางช่องทางสื่อ Online ต่างๆ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ก่อตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) เพื่อแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน ที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชนโดยตรง เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติ ข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม ข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมตลอดจนข่าวที่ทำลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. มีความห่วงใยประชาชนผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมเหล่านี้ จึงมีนโยบายกำชับทุกหน่วย ทำการสืบสวน จับกุม ปราบปรามการกระทำผิดในลักษณะนี้มาโดยตลอด เพราะถือได้ว่าการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวได้สร้างความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ หรือ ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เกิดความตื่นตระหนก ผบ.ตร. จึงได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 574/2562 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2562 จัดตั้ง ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.)
โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุมผู้ที่กระทำผิดให้มารับโทษตามกฎหมาย พร้อมดำเนินการบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น การเยียวยาให้ผู้เสียหายตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม สร้างความเชื่อมั่น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้กับประชาชน โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.ขส.บช.ปส. เป็นหัวหน้า เพื่อประสานความร่วมมือกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ผลการดำเนินการตรวจสอบการกระทำความผิดฯ และดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการเสนอข่าวอันไม่เป็นความจริง บิดเบือนข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในห้วงวันที่ 8-19 มิถุนายน พ.ศ.2563 พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.ข่าวกรองยาเสพติด หัวหน้าชุดประสานความร่วมมือกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควบคุมการปฏิบัติของชุดปฏิบัติซึ่งได้สั่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากภาคส่วนต่างๆ ดำเนินการตามแนวปฏิบัติตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีผลการปฏิบัติ การแจ้งข้อกล่าวหา การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และการใช้อำนาจตามกฎหมายอื่น จำนวนทั้งสิ้น 9 ราย
ปัจจุบันได้มีการประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทำให้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดี ได้กระทำการโพสต์ เสนอข่าว อันไม่เป็นความจริง ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือบิดเบือนข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงขอเตือนประชาชน ที่จะโพสต์ข้อมูลข่าวสาร อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และ พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือ จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและการใช้อำนาจตามกฎหมายอื่น รวมผลการปฏิบัติการ จำนวน 9 ราย
1.นายเสกสรรค์ฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “เพจ บุญเติม…” โพสต์เนื้อหา “น้ำมันกัญชาสามารถป้องกันไวรัส COVID19” ซึ่งทางกรมการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนทราบว่าผู้โพสต์อยู่ที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จึงประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.1 เข้าตรวจค้นตามหมายค้นศาลจังหวัดธญบุรี ที่ 197/2563 ลงวันที่ 18/06/2563 เบื้องต้นพบเจ้าตัวให้การยอมรับว่า เป็นผู้โพสต์จริง จึงทำการตรวจยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้ในการกระทำความผิด และ นำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากนั้นยังตรวจพบว่าในบ้านดังกล่าวมีการลักลอบปลูกต้นกัญชาและมีกัญชาอัดแท่งซุกซ่อนอยู่ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ นายศิรเมศร์ ฯ เจ้าของสถานที่ดังกล่าว ในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ความครอบครองเพื่อจำหน่ายและผลิตโดยผิดกฎหมาย ได้ดำเนินการขยายผลและนำตัวส่งดำเนินคดีที่ สภ.คลองหลวง ต่อไป
2.น.ส.ภคมนฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “เพจ KK…” โพสต์เนื้อหา “น้ำมันกัญชาสามารถป้องกันไวรัส COVID19” ซึ่งทางกรมการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนพบว่าเจ้าตัวอยู่ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา จึงประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.สส.ภ.3 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หินดาด เข้าทำการตรวจสอบตามหมายค้นศาลจังหวัดนครราชสีมา ที่ 32/2563 ลงวันที่ 18/06/2563 เบื้องต้นพบเจ้าตัว และยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์จริง พร้อมตรวจยึดตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้ในการกระทำความผิด และ นำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินการต่อไป
3.นายประทินฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “เพจ ข่าวคน…” โพสต์ว่า “หากโดนยืดใบขับขี่ จะไม่ได้คืนแล้ว ต้องไปสอบใหม่” ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนทราบว่ามีถิ่นที่อยู่ที่ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาเฉลียง เข้าทำการแจ้งให้ทราบถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข่าวปลอม/บิดเบือน เบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และรับทราบเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ทราบแล้ว และได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวด้วยความสมัครใจของตนเอง และรับปากว่าจะไม่โพสต์ข้อความที่เป็นข่าวปลอม/บิดเบือน ในลักษณะดังกล่าวนี้อีก
4.นายสุวรรณชัย ฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “สุวรรณชัย…” โพสต์ว่า “หากโดนยืดใบขับขี่ จะไม่ได้คืนแล้ว ต้องไปสอบใหม่” ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนทราบว่ามีถิ่นที่อยู่ที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง เข้าทำการแจ้งให้ทราบถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข่าวปลอม/บิดเบือน เบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และรับทราบเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ทราบแล้ว และได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวด้วยความสมัครใจของตนเอง และรับปากว่าจะไม่โพสต์ข้อความที่เป็นข่าวปลอม/บิดเบือน ในลักษณะดังกล่าวนี้อีก
5.น.ส.รัตติยากร ฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “Rattayakorn…” โพสต์ว่า “หากโดนยืดใบขับขี่ จะไม่ได้คืนแล้ว ต้องไปสอบใหม่” ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนทราบว่ามีถิ่นที่อยู่ที่ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านลาด เข้าทำการแจ้งให้ทราบถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข่าวปลอม/บิดเบือน เบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และรับทราบเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ทราบแล้ว และได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวด้วยความสมัครใจของตนเอง และรับปากว่าจะไม่โพสต์ข้อความที่เป็นข่าวปลอม/บิดเบือน ในลักษณะดังกล่าวนี้อีก
6.นางใจงามฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “Djngar…” โพสต์ว่า “หากโดนยืดใบขับขี่ จะไม่ได้คืนแล้ว ต้องไปสอบใหม่” ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนทราบว่ามีถิ่นที่อยู่ที่ อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จอมพระ เข้าทำการแจ้งให้ทราบถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข่าวปลอม/บิดเบือน เบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และรับทราบเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ทราบแล้ว และได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวด้วยความสมัครใจของตนเอง และรับปากว่าจะไม่โพสต์ข้อความที่เป็นข่าวปลอม/บิดเบือน ในลักษณะดังกล่าวนี้อีก
7.นายธนาดลฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “สุดโหด…” โพสต์ว่า “รัฐหลอกให้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา เพื่อจะเรียกเก็บภาษี” ซึ่งทางกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนทราบว่ามีถิ่นที่อยู่ที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. เมืองอุดรธานี เข้าทำการแจ้งให้ทราบถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข่าวปลอม/บิดเบือน เบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และรับทราบเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ทราบแล้ว และได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวด้วยความสมัครใจของตนเอง และรับปากว่าจะไม่โพสต์ข้อความที่เป็นข่าวปลอม/บิดเบือน ในลักษณะดังกล่าวนี้อีก
8.น.ส.ขวัญพรฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “Sweetie…” โพสต์ว่า “รัฐหลอกให้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา เพื่อจะเรียกเก็บภาษี” ซึ่งทางกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนทราบว่ามีถิ่นที่อยู่ที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลำลูกกา เข้าทำการแจ้งให้ทราบถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข่าวปลอม/บิดเบือน เบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และรับทราบเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ทราบแล้ว และได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวด้วยความสมัครใจของตนเอง และรับปากว่าจะไม่โพสต์ข้อความที่เป็นข่าวปลอม/บิดเบือน ในลักษณะดังกล่าวนี้อีก
9.น.ส.ณัฐติยาฯ ได้ใช้เฟสบุ๊ก “Nattiya…” โพสต์ว่า “รัฐหลอกให้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา เพื่อจะเรียกเก็บภาษี” ซึ่งทางกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม จากการสืบสวนทราบว่ามีถิ่นที่อยู่ที่ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วานรนิวาส เข้าทำการแจ้งให้ทราบถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข่าวปลอม/บิดเบือน เบื้องต้นเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และรับทราบเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ทราบแล้ว และได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวด้วยความสมัครใจของตนเอง และรับปากว่าจะไม่โพสต์ข้อความที่เป็นข่าวปลอม/บิดเบือน ในลักษณะดังกล่าวนี้อีก