ข้ออ้างในการต่ออายุ พ.ร.ก.ดังกล่าวไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคติดต่อโคโรน่า 2019 ได้ทุเลาลงไปมากแล้ว จนกลายเป็นการติดเชื้อโดยปกติเหมือนโรคติดเชื้ออื่นๆทั่วไปแล้ว เพราะหากจะให้ตัวเลขการติดเชื้อเท่ากับ “ศูนย์” อย่างต่อเนื่อง สังคมไทยก็คงต้องรอไปจนถึงชาติหน้าเท่านั้น เพราะโรคดังกล่าวไม่มีทางหมดไปจากประเทศไทย และโลกนี้ตามที่แพทย์ผู้รู้ได้ให้ความเห็นไว้
ทั้งนี้การต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป จะกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการผ่อนคลายให้กิจการบางประเภทสามารถดำเนินการได้แล้วภายใต้กฎ New Normal ก็ตาม แต่ทว่าธุรกิจต่างๆส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นธุรกิจของกลุ่มนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลใช่หรือไม่ อีกทั้งคนที่เสนอและออกคำสั่ง มิได้มีผลกระทบใด ๆ เลย ยังคงได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน และเบี้ยประชุมกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ยิ่งมีการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยิ่งมีการจัดประชุมรับเบี้ยประชุม มีการตั้งด่านตรวจเคอร์ฟิวส์รับเบี้ยเลี้ยงกันทั่วทุกจังหวัดทั่วประเทศอย่างไม่ละอาย แต่กลับอ้างว่าเสียสละ กลายเป็นแหล่งบ่อเงินบ่อทองให้กับหน่วยงานบางหน่วยไปโดยปริยาย ซึ่งรัฐบาลไม่เคยประกาศให้ประชาชนรับรู้ได้ว่านับแต่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นต้นมา มีการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนคนทั้งประเทศเพื่อการดังกล่าวไปแล้วจำนวนเท่าใด
นอกจากนั้น การบังคับตามข้อกำหนดของ พ.ร.ก.มีการเลือกปฏิบัติหรือบังคับกันแต่เฉพาะกับประชาชน คนธรรมดาทั่วไป หากแต่คนที่มียศถาบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งใหญ่โตกลับเพิกเฉยเสีย ดังกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปปลูกป่าที่เชียงใหม่ มีข้าราชการ นักการเมืองแห่แหนกันไปร่วมเสนอหน้าเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่จังหวัดเชียงใหม่ มีข้อกำหนดว่าถ้าคนต่างจังหวัดโดยเฉพาะจาก กทม.เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ จะต้องถูกกักตัว 14 วัน แต่ทว่าคณะของ พล.อ.ประวิตร ถูกกักตัวหรือไม่ สมช.ตอบได้หรือไม่ ดังนั้น การเสนอต่ออายุ พ.ร.ก.จึงไร้เหตุผลใดๆ ที่จะต่ออายุต่อไป ควรกลับไปใช้กฎหมายเดิม คือ พรบ.โรคติดต่อ 2558 ตามปกติต่อไป หากยังคิดว่ามีความสามารถหรือศักยภาพที่จะจัดการได้จริง โดยไม่ต้องพึงเครื่องมือคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกต่อไป เว้นแต่จะใช้โรคระบาดเป็นข้ออ้างในการใช้และรักษาฐานอำนาจไว้เท่านั้น