สำหรับกำไรขั้นต้นงวดไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 399.99 ล้านบาท หรือ 13.54% จากยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 151.18 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60.76% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิ อยู่ที่ 59.89 ล้านบาท หรือ 2.03% ของยอดขายรวม ลดลง 41.04 ล้านบาท หรือ 40.66% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 0.04 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา( COVID-19) ทำให้เงินบาทมีการอ่อนค่าลง บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน สุทธิ จำนวน 29.32 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ตามมาตรฐานการบัญชีของตราสารอนุพันธ์ สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Forward Contract)สำหรับค่าสินค้าที่บริษัทได้มีการขายล่วงหน้าไว้แล้ว จำนวน 127.25 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโรงงานของลูกค้าในจีนเริ่มกลับมาเดินการผลิตแล้ว สำหรับการเจรจาลูกค้ารายใหม่ ในช่วงปลายไตรมาส 2 คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญากับลูกค้าใหม่ 2 ราย ซึ่งเป็นลูกค้าสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) อีกด้วย คาดว่าจะมาช่วยหนุนออเดอร์ของบริษัทให้เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้ทดลองเดินเครื่องจักรโรงงานผลิตแห่งใหม่ตามแผนที่วางไว้