เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลาที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดี-รังสิต กรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็นประธานการสัมนามอบนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) โดยมีข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร.-ผบก. ทุกหน่วยในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 420 นาย เข้ารับฟังนโยบายเพื่อให้เกิด ความตระหนัก และนำเอานโยบายไปถ่ายทอดให้ผู้ใต้บังคับบัญชารับทราบและปฏิบัติ
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มุ่งเน้นการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและนโยบายรัฐบาลให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม มีความโปร่งใส และมุ่งมั่น ในการขับเคลื่อน
โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการกระจายอำนาจลงสู่พื้นที่ โดยเฉพาะสถานีตำรวจ ดังวิสัยทัศน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “เป็นหลักประกันความยุติธรรม และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ที่มีมาตรฐานสากล”
สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 นี้ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบงานนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้จเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เป็นผู้กำกับ ดูแลและบริหารราชการ สั่งและปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดังนี้
1. งานบริหาร มอบ พลตำรวจเอก มนู เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2. งานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มอบ พลตำรวจเอก สุชาติ ธีระสวัสดิ์
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 3. งานสืบสวนสอบสวน มอบ พลตำรวจเอก ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 4. งานกฎหมายและคดี มอบ พลตำรวจเอก วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 5. งานความมั่นคงและกิจการพิเศษ มอบ พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 6. งานจเรตำรวจ มอบ พลตำรวจเอก ชนสิษฎิ์ วัฒนวรางกูร จเรตำรวจแห่งชาติ
ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสำคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. การพิทักษ์ ปกป้อง และเทิดพระเกียรติเพื่อความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. การรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในสังคม 3. การป้องกันปราบปรามและลดระดับอาชญากรรม 4. การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ 5. การเร่งรัดขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูปองค์กร 6.การเสริมสร้างความสามัคคี และการบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ
นอกจากนี้ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังได้กล่าวว่าข้าราชการตำรวจทุกนายมีภารกิจสูงสุด คือ พิทักษ์ ปกป้อง และเทิดพระเกียรติ เพื่อถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหน้าที่จิตอาสา พระราชทานตามแนวพระราชดำริ
“เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” และภารกิจที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่ง คือ รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนภายใต้ร่มพระบารมี โดยมุ่งหวังให้เกิดความสงบสุขในสังคม อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาประเทศไทยให้เดินหน้าทัดเทียมกับนานาอารยประเทศต่อไป
ภายหลังกล่าวเปิดประชุมเสร็จ ผบ.ตร.ยังได้ให้สัมภาษณ์ กับสื่อมวชชนว่า
“ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ก็ยังใช้นโยบายเดิม 6 ข้อ คือ 1.การพิทักษ์ ปกป้อง และเทิดพระเกียรติเพื่อความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ,2.การรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในสังคม ,3.การป้องกันปราบปรามและลดระดับอาชญากรรม, 4.การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ, 5.การเร่งรัดขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูปองค์กร ,และ6.การเสริมสร้างความสามัคคีและการบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ
ส่วนนโยบายเฉพาะในปีนี้ มอบหมายในเรื่อง “เฟคนิวส์” การบิดเบือนข่าวสารที่รวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคข่าวสารหลงเชื่อ บางครั้งส่วนใหญ่ก็ไม่เป็นความจริง โดยเตรียมตั้งศูนย์เฉพาะกิจเพื่อปราบปราม ทุกข่าวที่เป็นข่าวบิดเบือนจะดำเนินการทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็มีการสร้างเฟคนิวส์ ส่วนคนที่ทำจะอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ ก็มีข้อมูลบางส่วนแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนขอบเขตการทำงานก็จะทำทั่วประเทศ ซึ่งตอนนี้บางส่วน ปอท.ก็เป็นผู้รับผิดชอบ
นโยบายเฉพาะอีกเรื่องคือ “ภัยพิบัติ” ได้สั่งการให้ รอง ผบ.ตร. ผบช. รวมถึงทุกหน่วยที่รับผิดชอบแต่ละภาคให้ช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ดินถล่ม น้ำขัง ขอให้ผู้ที่รับผิดชอบแต่ละจังหวัดที่มีภัยพิบัติให้ความร่วมมือ พยายามช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่พักพิง โดยให้ใช้โรงพักเป็นสถานที่พักพิงได้ อย่างไรก็ตามตนก็กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดูแลทุกข์สุขของประชาชน อยากให้ดูแลเรื่องภัยพิบัติ หากเกิดขึ้นให้ออกไปช่วยเหลือทันที
เมื่อถามว่ากรณีที่มีข้าราชการตำรวจขอเออรี่เกือบ 1 พันนาย มีนัยยะสะท้อนการทำงานขององค์กรณ์หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ตัวเลขเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 100 คน ไม่ได้แตกต่างมาก ก็เป็นเรื่องปกติ การลาออกมีหลายเหตุผล อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว ออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว เราไม่สามารถไปโน้มน้าวยับยั้งไม่ให้เขาไม่ลาออกได้ นอกจากจะเป็นเหตุผลจำเป็นทางราชการการจริงๆ ส่วนกระแสข่าวที่บอกว่าบางคนบอกเพราะความน้อยใจไม่ได้รับความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานนั้น ก็ต้องไปดูเป็นรายบุคคลไป
เมื่อถามว่าการลาออกดังกล่าวจะกระทบต่อโครงสร้างหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ปกติก็ขาดอยู่แล้ว อัตราอนุญาติจริงๆ 3 แสนกว่านาย ตอนนี้มี 220,000 คน จาดไป 7-8 หมื่นคน การจะหากำลังพาเพิ่มมันเกี่ยวพันไปหลายอย่าง ไม่สามารถทำได้ในวันนี้ พรุ่งนี้ ตนก็ต้องบริหารงานในภาวะขาดแคลนนี้แบบนี้ไป ก็ขอให้เห็นใจด้วย ไม่ใช่เห็นตัวเลขการลาออกแล้วนำมาตีประเด็น ซึ่งตัวเลขนายพลที่ลาออกมีแค่ 5 รายเท่านั้น และก็ใกล้เกษียณแล้ว อย่าพยายามไปพูดในทางลบ จะทำให้องค์กรณ์เสียหาย แบบนี้อาจเป็นต้นตอของเฟคนิวส์ได้
เมื่อถามว่ามีนโนบายแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้อย่างไรบ้าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ก็แก้ไขปัญหามาตั้งแต่ปี 2547 ทุกวันนี้สถานการณ์ ตัวเลขการก่อเหตุ การเสียชีวิต ก็ดีขึ้นตามลำดับ
ถามว่า 4 ปีที่ผ่านมา ผบ.ตร. ประเมินและให้คะแนนการทำงานของตนเองอย่างไรบ้าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า คงประเมินตัวเองไม่ได้ ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ประเมิน หากประเมินไม่ผ่านก็ยอมรับ มีคะแนนบวกก็ถือว่าเสมอตัว แต่ตนคิดว่าที่ผ่านมาก็ทำแต่สิ่งที่ดีให้กับองค์กรมาตลอด”