เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินคดีกับผูร่วมก่อเหตุ ลอบวางระเบิดในพื้นที่ กทม. และพื้นที่เกี่ยวข้อง ในห้วงที่ผ่านมาว่า
ได้รับรายงานจากคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมว่า ขณะนี้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่ออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่กระทำความผิดก่อเหตุระเบิดตามพื้นที่หลายจุด ของ กทม. และปริมณฑล เพิ่มอีกจำนวนผู้ต้องหา 5 คน จำนวน 5 หมายจับ ซึ่งเป็นระดับสั่งการ นายมะนูเด็น สามะ 1425/2562 ,นายมูฮำมัดอาดีลัน สาและ 1426/2562 , นายอารีฟ มะเซ็ง 1427/2562 , นายซุลกิฟลี มะสาแมง 1428/2562 ,นายรอแปะอิง อุเซ็ง 1429/2562 ในข้อหา เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิด เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พยายามทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น, กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น, กระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น และโรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้า และกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส มีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 3-20 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 -1,000,000 บาท
ต่อมา คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ยื่นร้องต่อศาลเพื่อเพิ่มข้อกล่าวหาหมายจับผู้ต้องหาในระดับปฎิบัติการและยังหลบหนีการจับกุม จำนวน 13 ราย ได้แก่ นายอัมรี มะมิง 1438/2562 ,นายอัสมี อาบูวะ 1436/2562 ,นายอุสมาน เปาะลอ 1437/2562 , นายมะยากี มะลาซิง 1442/2562 ,นายศรัทธา อาแว 1439/2562 ,นายอุสมาน เจ๊ะเต๊ะ 1440/2562 ,นายสุกรี ดือรามัน 1441/2562 ,นายฮากีม ปุนยัง 1435/2562 ,นายฮาแซ แบเล๊าะ 1433/2562 ,นายนัสรู มะประสิทธิ์ 1241/2562 ,นายอุสมัน ลาเตะ 1430/2562 ,นายฮาซัน อาแว 1431/2562 ,นายมะยูโซะ หะยีสามะ (อยู่ระหว่างศาลพิจารณาออกหมายจับใหม่)
ในข้อหา เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, ร่วมกันก่อการร้าย, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น,ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น,ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น และโรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้า ,ร่วมกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส, พาอาวุธ(ระเบิด) ไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทาง
สำหรับ นายลูไอ แซแง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 462/2562 , นายวิลดัน มาหะ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 463/2562 (ผู้ก่อเหตุหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ซึ่งถูกจับกุมตัว เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562 และ นายมูฮัมมัดอิลฮัม สะอิ (ทำหน้าที่ส่งระเบิด) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1327/2562 ซึ่งถูกควบคุมตัว เมื่อ 5 สิงหาคม 2562 นั้น พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เพิ่มเติมในข้อหา เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, ร่วมกันก่อการร้าย, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น,ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น,ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น และโรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้า, ร่วมกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส, พาอาวุธ(ระเบิด) ไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ,ร่วมกันทำ ใช้ มีไว้ซึ่งวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้,มียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ส่วนผู้ต้องหา อีก 1 ราย คือ นายมะยูโซะ หะยีสามะ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1334/2562 ข้อหา อั้งยี่ ,ร่วมกันทำ ใช้ มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ,กระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น และเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ,พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ,พาอาวุธ (ระเบิด) ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งอยู่ระหว่างศาลพิจารณาอนุมัติข้อหาการออกหมายจับเพิ่มเติม
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอดและพบว่าเหตุที่เกิดขึ้นนั้น มีการกระทำผิดเกิดขึ้นตั้งแต่นอกราชอาณาจักร เกี่ยวพันต่อเนื่องกันจนมีกระทั่งเกิดเหตุภายในประเทศไทย ซึ่งตาม ป.วิ อาญา มาตรา 20 นั้น อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โดยได้มอบหมายให้พนักงานอัยการเป็นพนักงานสอบสวนร่วมกับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามคณะทำงานยังคงเร่งรัดดำเนินการสืบสวน สอบสวน หาความเชื่อมโยงการกระทำความผิด ตลอดจนขยายผลผู้ที่เกี่ยวข้องและสืบสวนติดตามจับกุมผู้ที่ร่วมก่อเหตุ มาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม
รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้พนักงานสืบสวนสอบสวนได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้ว 21 คน จำนวน 21 หมาย โดยสามารถจับกุมได้แล้ว 3 ราย อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับและสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ผ่านมายัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในการทำงานกันอย่างเต็มกำลังความสามารถ เข้มข้นจริงจังในการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และเร่งรัดออกติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งในส่วนของภาคประชาชนที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการสอดส่องและแจ้งข้อมูลเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่
อีกทั้ง ผบ.ตร. ยังได้ขับเคลื่อนตามนโยบายนายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. กำกับดูแลและเป็นหัวหน้าทีมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในเรื่องนี้ ซึ่งต้องทำงานแข่งกับเวลา ยึดระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนหลักสิทธิมนุษยชน เป็นสำคัญ โดยจะต้องไม่มีการจับแพะอย่างเด็ดขาด รวมทั้งมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งในและนอกประเทศในการติดตามและจับกุมตัวผู้ต้องหามาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
พร้อมกันนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนมีความเชื่อมั่นในทีมงานของ ผบ.ตร. และคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ได้แต่งตั้งขึ้นมาทำงานไม่มีวันหยุดพักภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยให้นำหลักนิติวิทยาศาสตร์มาเชื่อมโยงพิสูจน์ถึงการกระทำความผิด ยึดหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ เป็นสำคัญในการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมโดยหากประชาชนมีข้อมูลหรือเบาะแสที่เกี่ยวข้อง สามารถแจ้งหรือส่งข้อมูลมายังหมายเลขสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชม. ในทุกพื้นที่