ไทยพาณิชย์เดินหน้าเร่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยพร้อมขยายกลุ่มใหม่พันธมิตรใหม่ต่อเนื่อง จับมือ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
หรือ NIA เปิดหลักสูตร “NIA – SCB Innovotion-Based Enterprise (IBE)”
ติวเข้มบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล (Tech Company) ด้วยความรู้เชิงผู้ประกอบการ (Enterpreneurship) เสริมแกร่งทักษะทางธุรกิจและการตลาดให้สามารถขยายธุรกิจได้ พร้อมเป็นตัวเชื่อมทางด้านเครือข่ายธุรกิจด้วยโอกาสของการเข้าถึง และนำเทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนการทำธุรกิจร่วมกับลูกค้าเอสเอ็มอีจากหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันเอสเอ็มอีไทยและผู้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลให้เติบโตคู่กันแบบวิน-วิน
นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารมีแนวนโยบายการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเจ้ามาพัฒนากระบวนการทำงานทั้งของธนาคารแบะรวมไปถึงการมอบเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อการพัฒนากระบวนการทำงานของลูกค้าเอสเอ็มอีของเราด้วย ในข่วงที่ผ่านมาธนาคารได้ทำงานร่วมกับบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีทางด้านต่างๆที่มีศักยภาพที่ทำให้เข้าใจถึงบริบททางด้านขีดความสามารถและข้อจำกัดบางประการโดยเฉพาะด้านการตลาดและขยายธุรกิจที่เห็นว่าธนาคารจะสามารถช่วยพัฒนาต่อได้ จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA จัดหลักสูตรอมรมโดยเน้นการเสริมให้ความรู้เชิงผู้ประกอบการให้กับกลุ่มนี้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีแย่างเข้มค้นด้วยการเสริมแนวความคิดและประสบการณ์ทางด้านการตลาดและธุรกิจ
เพื่อนำเสนอและพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเตรียมโครงสร้างทางการเงินเพื่อดึงดูดนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนกับบริษัทด้วย ซึ่งนับเป็นระยะสำคัญที่จะส่งผลต่อการขยายธุรกิจให้เติบโตไปอย่างยั่งยืน”
หลักสูตร “NIA – SCB Innovoation-Based Enterprise (IBE)” เป็นหลักสูตรการอบรมที่เน้นไปในทางการทำ Business Matching,Testing Ground และการช่วยหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อติดอาวุธและบ่มเพาะชั้นเชิงทางธุรกิจให้กับบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่อยู่ในระยะ Growth Stage ให้พร้อมเดินหน้าแข่งขันและเติบโตอย่างไรขีดจำกัด และนอกจากนี้ธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมที่จะผลักดันธุรกิจกลุ่มนี้ให้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่าน 4 องค์ประกอบในการทำธุรกิจ ได้แก่ องค์ความรู้ (Academy) ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน (Banking product and service) เครือข่ายธุรกิจ (Connection) และ ดิจิทับโซลูชั่น (Digital solution) โดยใช้ระยะเวลาในการอบรม 26 สัปดาห์ จำนวนผู้เข้าอบรม 30 บริษัท นอกจากนี้ธนาคารยังต้องสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับการเสริมประสิทธิภาพในการทำธุรกิจของเอสเอ็มอีในปัจจุบันและผู้เข้าร่วมหลักสูตรนี้จะมีโอกาสเข้าร่วม Business Matching พบกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของธนาคารฯ จากหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อนำไปพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ทางกระบวนการทำงานและเพื่อช่วยเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนให้กับเอสเอ็มอีทั้งยังเป็นการขยายฐานลูกค้าของบริษัทเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ระบบนิเวศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ปัจจุบันมีนักลงทุนในประเทศไทยและนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพไทยมากขึ้น สตาร์ทอัพในช่วง Early Stage สามารถหาแหล่งเงินทุนลงในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยได้ และหากเข้าสู่ช่วง Growth Stage แล้ว บริษัทมีทางเลือกที่จะจัดรูปแบบโครงสร้างบริษัทใหม่ โดยอาจจัดตั้งนิติบุคคลในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาภายหลังได้ และในอนาคตมีแนวโน้มที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในบริษัทไทยมากขึ้น จากความพยายามทั้งจากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันผลักดันการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย หุ้นส่วนบริษัทเพื่อยกระดับให้เป็นสากล”
NIA ได้จัดตั้งสถาบันวิทยาการนวัตกรรม หรือ NIA Academy ขึ้น โดยเป็นสถาบันเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการนวัตกรรม เพื่อยกระดับความสามารถทางนวัตกรรมของประเทศให้ก้าวสู่ระดับสากลสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งความร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ในครั้งนี้จะช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดของสตาร์ทอัพไทยให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งโอกาสเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงขององค์กรธุรกิจ ความรู้และมุมมองแบบนักธุรกิจ และแหล่งเงินทุนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการนวัตกรรมแบบเปิด โครงการนวัตกรรมดีไม่มีดอกเบี้ย และ NIA venture เป็นรูปแบบการสนับสนุนที่เหมาะสำหรับ Startup โดยจะเน้นการพิจารณานากรูปแบบธุรกิจของโครงการ ซึ่งจะต้องมีลักษณะเติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้ง NIA ยังมีความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และส่งเสริมให้สตาร์ทอัพสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญาและใช้ประโยชน์ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโต มี Market innovation เพื่อให้ธุรกิจนวัตกรรมให้เติบโตไปตลาดต่างประเทศได้อีกด้วย