เจ้าของกิจการนำเข้ายางรถยนต์จากต่างประเทศ พร้อมด้วยทนาย นายอนันต์ชัยฯเข้าแจ้งความกองปราบฯเพื่อให้ดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐฯ กลั่นแกล้ง
เมื่อวันที่ 23 ก.ค.62 เวลา 10.00 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) : นายประเสริฐ พิมพ์พาพร อายุ 75 ปี เจ้าของ หจก.พี.เอส.โอ.อิมปอรต์ (ไทยแลนด์) ที่จำหน่ายยางรถยนต์ นำเข้ายางรถยนต์จากต่างประเทศ พร้อมด้วยทนาย นายอนันต์ชัย ไชยเดช เดินทางเข้าพบ พันตำรวจตรี ธีรพจน์ คงหนู สารวัตรสอบสวน กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม (สว.สอบสวน กก.5 บก.ป.)
เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และข้าราชการพลเรือน รวม 29 นาย ในหลายข้อหา “แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,173 และ 174,หน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ทำให้เกิดความตกใจกลัวมาตรา 157,362,364,365(2),309, 310,310ทวิ,392 และ397 ประกอบ มาตรา 86 และมาตรา 84,แจ้งความเท็จ, เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ,เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือข้อหาอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายอาญา
ทนายอนันต์ชัยฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค.62 ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่กรมทหารสื่อสารที่ 1 ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาครและเจ้าหน้าที่ทำการปกครองจังหวัดสมุทรสาครประมาณ 100 กว่าคนได้ร่วมกันบุกรุกเข้ามาภายในห้างหุ้นจำกัดพี.เอส.โอ.อิมปอร์ต (ไทยแลนด์) โดยไม่แสดงหมายค้น
โดยบอกว่าที่โรงงานมีแรงงานต่างด้าว จากนั้นกลุ่มเจ้าพนักงานดังกล่าวก็ได้กระจายกันค้นทั่วบริเวณโรงงานของนายประเสริฐ โดยไม่ยอมให้เป็นผู้นำในการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายประเสริฐฯ โดยขังไว้ในห้องทำงานก่อนแจ้งให้ทราบว่านายประเสริฐฯ มีหมายจับของศาลจังหวัดหัวหินคดีที่ 125/2562 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2562 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราประกอบกิจการสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ (การให้กู้ยืม) โดยไม่ได้รับอนุญาต
ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทหารได้บังคับให้นายประเสริฐฯ เปิดตู้เซฟและพูดจาข่มขู่ว่าหากขัดขืนจะนำตัวไปกักขังได้เป็นเวลา 7 วัน จึงจำเป็นต้องยอมเปิดตู้เซฟภายในมีเอกสารโฉนดที่ดินและเอกสารอื่นๆ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ได้ยึดเอาเฉพาะโฉนดที่ดินทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องไปทั้งหมดจำนวน 52 ฉบับ พร้อมกับทำบันทึกการยินยอมให้ตรวจยึดเอกสารดังกล่าวไปทั้งที่ความจริงแล้วเจ้าตัวไม่ยินยอมแต่เนื่องจากถูกข่มขู่บังคับ
ทนายอนันต์ชัยฯ กล่าวต่อว่า ระหว่างนั้นนายทหารชั้นผู้ใหญ่นายหนึ่งได้เจรจากับนายประเสริฐฯ โดยกล่าวว่ามี นส.เอ (นามสมมุติ) ที่ถูก นายประเสริฐฯ ได้ให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและหมายจับดังกล่าวก็คือคดีที่ นส.เอ (นามสมมุติ) เป็นคนแจ้งความเท็จ เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายประเสริฐฯ จนเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับ
จากนั้นได้พูดต่อรองหนี้ที่ นส.เอ (นามสมมุติ) เป็นหนี้อยู่ประมาณ 18 ล้านบาทเศษโดยขอลดดอกเบี้ยจากเดิมประมาณ 4 ล้าน 5 แสนบาทเศษคงเหลือ 2 ล้านบาทเศษและขอกำหนดระยะเวลาชำระภายใน 1 เดือนโดยไม่ให้มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยหากชำระเกิน 1 เดือนแต่ไม่เกิน 4 เดือนให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีหากไม่สามารถชำระหนี้ตามระยะเวลาดังกล่าวได้ให้เป็นไปตามสัญญาเดิมและให้ทั้งสองฝ่ายตกลงพร้อมกันที่จะไปถอนคำร้องทุกข์คดีพรบ.เช็ค ผิดสัญญาชำระหนี้ และให้ถอนคำร้องทุกข์แจ้งความเท็จ ซึ่งตัวนายประเสริฐฯ ไม่ตกลงตามข้อเสนอ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ดังกล่าวข่มขู่เป็นเหตุให้ต้องฝืนใจทำบันทึกจากการสนทนาดังกล่าว
ทั้งนี้การที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวร่วมกันบุกรุกเข้ามาที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.เอส.โออิมปอร์ต (ไทยแลนด์) ของตนนั้นมาด้วยจุดประสงค์เดียวคือต้องการให้นายประเสริฐฯ ลดหนี้ที่ นส.เอ (นามสมมุติ) ค้างชำระอยู่โดยการนำหมายจับของศาลจังหวัดหัวหินมาใช้เป็นเครื่องมือแต่ไม่มีการจับกุมตามหมายจับดังกล่าวแต่อย่างใดพร้อมกับสั่งให้นายประเสริฐฯ ไปพบกับผู้ต้องหาที่ 1 ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสมุทรสาคร
เพื่อไปตกลงเกี่ยวกับหนี้ที่นส.เอ (นามสมมุติ) ค้างชำระอยู่ หากไม่ไปจะถูกดำเนินคดีและจะถูกเอาตัวไปกักขังเป็นเวลา 3 วัน ทำให้นายประเสริฐฯ เกิดความกลัวเป็นอย่างมาก กลัวว่าจะค้าขายไม่ได้จึงจำยอมต้องตกลงตามที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวเรียกร้องและข่มขู่ นอกจากนี้ยังข่มขู่สั่งให้ไปคนเดียวห้ามนำทนายความไปด้วยเด็ดขาดมิฉะนั้นจะดำเนินคดีทันทีและที่สำคัญพฤติการณ์ของกลุ่มเจ้าหน้าที่ดังกล่าวใช้หมายจับของศาลเป็นเครื่องมือยังเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลอีกโสดหนึ่งด้วย
ทนายอนันต์ชัยฯ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ในขณะตรวจค้นเจ้าหน้าที่พบคนงานต่างด้าวที่กำลังเข้ามาสมัครงาน 1 คน โดยได้ชี้แจงไปแล้วว่าไม่ได้เป็นคนงานของโรงงานแต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อกลับทำบันทึกจับกุมในข้อหารับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน การกระทำของเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าว เหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่จับกุมตัวนายประเสริฐฯ ในข้อหาหรือฐานความผิดตามหมายจับ แต่กลับกลั่นแกล้งจับกุมในความผิดแรงงานต่างด้าว อีกทั้งไม่แจ้งให้พนักงานสอบสวน สภ.หัวหิน ทราบตามกฎหมายอันถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ด้านนายประเสริฐฯ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นส.เอ (นามสมมุติ) ได้ชักชวนตนให้ร่วมลงทุนซื้อที่ดินเพื่อทำหมู่บ้านจัดสรร “โครงการรัศมี” และจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งตนก็ตกลงและได้ให้เงินลงทุนกับ นส.เอ (นามสมมุติ)ไปประมาณ 15 ล้านบาทเศษ โดย นส.เอ (นามสมมุติ)ได้ทำเป็นสัญญาเงินกู้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี มอบให้ไว้เป็นหลักประกันและเมื่อคำนวณแล้วตนจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนเพียง 600,000 บาท
ซึ่งมิใช่ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ยืนยันว่าตนมีอาชีพเป็นหลักแหล่งมั่นคง โดยทำธุรกิจขายยางรถยนต์ ไม่ได้มีอาชีพปล่อยเงินกู้หรือประกอบกิจการสินเชื่อรายย่อยแต่อย่างใด ทั้งนี้จากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่บุกค้นโรงงานตน สื่อหลายช่องได้นำเสนอข่าวทำให้ปะชาชนที่ไม่รู้ความจริงเข้าใจว่า ตนเป็นคนไม่ดี ทำสิ่งผิดกฎหมายปล่อยดอกเบี้ยเงินกู้ผิดกฎหมาย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศและก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจการค้าของตนเป็นอย่างมาก
เบื้องต้น พ.ต.ต. ธีรพจน์ฯ ได้รับเรื่องไว้ ก่อนส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ปปป.) ดำเนินการเนื่องจากผู้ถูกกล่าวโทษเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ