เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่ห้องศูนย์หมายจับคนร้ายข้ามชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซ.สวนพลู นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ นำนายเศรษฐ์ เดชสุภา ซึ่งถูกนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้รองผู้กำกับการสืบสวน สถานีตำรวจภูธรบางปะอิน ค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของภรรยานายเศรษฐ เพื่อนำไปเผยแพร่ในสื่อโซเชียล จนได้รับความเสียหาย เข้าพบพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อร้องเรียนพฤติกรรมเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้ข้อมูลแก่บุคคลภายนอกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุเกิดขึ้นที่สภ.บางปะอินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยพบว่ามีความพยายามทำให้ชอบด้วยกฎหมายมีพฤติกรรมการลงบันทึกประจำวันย้อนหลัง ซึ่งพบเป็นความผิดชัดเจนและจะดำเนินคดี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ในข้อหาพรบ.คอมพิวเตอร์ และพยายามฉ้อโกงประชาชน
 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด
นายษิทรา กล่าวว่า เพจเฟซบุ๊กชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมเคยโพสต์ข้อความเมื่อปี 2556-2257 ระบุว่าสายสืบต้องมียาเสพติดติดตัวและเรียกรับเงินจำนวนหนึ่งถึง 20,000 บาท ส่วนตัวไม่เชื่อว่าตำรวจจะกระทำการตามที่ถูกกล่าวหา และกรณีการตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ มีลักษณะรับจ้างคัดทะเบียนราษฎร์ของประชาชน หากมีผู้ร่วมขบวนการก็จะดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันกระทำผิดด้วย ส่วนกรณีที่ประธานชมรมเหยื่ออาชญากรรมระบุว่า จะดำเนินคดีกับตนและตำรวจที่รับเรื่องทั้งหมดก็เป็นสิทธิ ถ้านายอัจริยะไม่ได้รับความเป็นธรรม อย่างไรก็ตามยืนยันว่าเอกสารใบบันทึกประจำวันที่เอาออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งหมดชอบด้วยกฎหมาย และหากฝั่งคู่กรณีคิดว่าเอาออกมาโดยมิชอบ ก็สามารถแจ้งความได้ ส่วนที่คู่กรณีระบุว่า เป็นการล้างแค้น ดิสเครดิตกันหรือไม่นั้น นายษิทรา ยังกล่าวอีกว่า หากนายอัจริยะไม่ได้ทำผิดกฏหมาย ก็ไม่สามารถเอาผิด หรือล้างแค้นนายอัจริยะได้ เมื่อถามว่าจะมีการไกล่เกลี่ย กันได้หรือไม่ นายษิทรายืนยันว่าไม่สามารถยอมความได้ เนื่องจากความผิดมีอายุความถึง 10 ปี ข้อหาตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ขณะที่พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทั้งหมดต้องมีการตรวจสอบว่ากระทบต่อคดีอาญา และประชาชนหรือไม่ ซึ่งหากกระทบทางพนักงานสอบสวนต้องดำเนินคดี ส่วนประเด็นการคัดสำนวนบันทึกประจำวัน ทราบว่าขณะนี้ทางผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว และการบันทึกข้อความในสำนวน ตำแหน่งรองผู้กำกับสามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชา