สรุปหลักกฎหมายระหว่างประเทศ : วิธีการรบกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

94

สรุปชัดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ การรบต้องไม่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมวงกว้าง ระยะยาว และร้ายแรง ย้ำหลักความจำเป็นทางทหาร–ความได้สัดส่วน ฝ่าฝืนเสี่ยงถูกนับเป็นอาชญากรรมสงครามภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม

พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์​ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ​ 29 ธันวาคม 2568

ในการรบหรือสงครามนั้นกฎหมายระหว่างประเทศ (กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศหรือ
กฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธหรือกฎหมายสงคราม) ก็ได้มีการกล่าวถึงว่าในการทำการรบหรือ
สงครามนั้นการใช้อาวุธโจมตีทำลายอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ โดยรัฐคู่ขัดแย้งทุก
ฝ่ายจะต้องใช้วิธีการรบที่คำนึงถึงการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติด้วย ซึ่งกฎหมายมนุษยธรรม
ระหว่างประเทศทั้งเป็นตัวบทในอนุสัญญาและกฎหมายจารีตประเพณีก็ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ​

วิธีการรบกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติไว้ว่า กรณีใดจึงจะเข้าข่ายละเมิดกฎหมาย
มนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถสรุปหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างระหว่างประเทศที่
เกี่ยวข้องได้ ดังนี้

การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ในการทำการรบหรือสงครามให้ใช้ความระมัดระวังเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติไม่ให้ได้รับความเสียหายวงกว้าง ระยะยาว และร้ายแรง กับกระทำเกินความจำเป็น การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาตินี้รวมถึงการห้ามใช้วิธีการรบซึ่งมีเจตนาหรืออาจคาดได้ว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติและกระทบต่อสุขภาพหรือความอยู่รอดของประชากร เช่น ฝนเหลืองซึ่งเป็นสารฆ่าวัชพืชและสารเร่งใบไม้ร่วงในสงครามเวียดนาม ดังนั้น เฉพาะกรณีเกิดความเสียหายวงกว้าง ระยะยาว และร้ายแรง กับเกินความจำเป็นหรือกระทบต่อสุขภาพหรือความอยู่รอดของประชากร จึงเข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

การพิจารณาว่ากระทำเกินความจำเป็นหรือไม่นั้นก็ต้องยึดถือหลักการพื้นฐานสำคัญสองประการ
ของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ประการแรก คือ หลักความจำเป็นทางทหาร (Military
Necessity) กล่าวคือ การใช้กำลังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ศัตรูยอมแพ้โดยสิ้นเชิงหรือบางส่วนโดยเร็วที่สุด
ที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่อาจอ้างความจำเป็นทางทหารโดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งความจำเป็นทางทหารหมายถึง
การปฏิบัติการหรือการใช้กำลังและอาวุธต่อเป้าหมายทางทหารเท่าที่จำเป็นต่อการบรรลุภารกิจทาง
ทหารเท่านั้น

ทั้งนี้​ การปฏิบัติการหรือการใช้กำลังอาวุธดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตและกฎเกณฑ์ของกฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธ ประการที่สอง คือ ความเป็นสัดส่วน (Proportionality) ที่เหมาะสม หมายถึงความเสียหายที่เกิดจากการปฏิบัติการหรือการใช้กำลังอาวุธนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับความจำเป็นทางทหารแล้วจะต้องไม่เกินสมควร กล่าวคือ การไม่ใช้กำลังอาวุธที่มากเกินกว่าความจำเป็นในอันที่จะบรรลุเป้าหมาย การใช้กำลังและอาวุธควรกระทำเพียงเพื่อให้ศักยภาพทางทหารของศัตรูลดลงโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากเกินไป และต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่พลเรือนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบนอกจากห้ามโจมตีส่วนใดส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติเว้นแต่จะเป็นเป้าหมายทางทหารภายใต้หลักเกณฑ์ไม่ให้สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติได้รับความเสียหายวงกว้าง ระยะยาว และร้ายแรงกับกระทำเกินความจำเป็นแล้ว จะต้องมีความจำเป็นทางทหารอย่างยิ่งยวดด้วย และจะต้องมีการป้องกันล่วงหน้าเท่าที่จะกระทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดความเสียหายที่มีต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติให้น้อยที่สุด ตลอดจนห้ามใช้การทำลายสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติเป็นเสมือนอาวุธเพื่อการตอบโต้การใช้วิธีการรบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติที่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศนั้น ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศได้กำหนดให้เป็นอาชญากรรมสงครามซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ หากเป็นอาชญากรรมขนาดใหญ่ และเป็นการสั่งโดยเจตนาให้โจมตีโดยรู้ว่าการโจมตีเช่นว่าจะยังให้เกิดความเสียหายวงกว้างระยะยาว และร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำเกินความจำเป็นเมื่อปรียบเทียบกับความได้เปรียบทางทหารที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมและโดยตรงอันได้คาดหมายไว้

สรุป วิธีการในการรบนั้นบางครั้งไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติได้ แต่การปฏิบัติการต้องคำนึงถึงหลักการสำคัญ คือ ต้องไม่ให้สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติได้รับความเสียหายวงกว้าง ระยะยาว และร้ายแรง กับกระทำเกินความจำเป็น ตลอดจนไม่กระทบต่อสุขภาพหรือความอยู่รอดของประชากร ภายใต้หลักความจำเป็นทางทหารกับหลักความเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม และจะต้องมีการป้องกันล่วงหน้าเท่าที่จะกระทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดความเสียหายที่มีต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติให้น้อยที่สุด หากยึดถือปฏิบัติตามที่กล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัดก็ไม่เข้าข่ายเป็นอาชญากรรมสงครามแต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาทหารและหน่วยงานวางแผนการปฏิบัติการทางทหารก็ได้ยึดถือปฏิบัติตามหลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศดังกล่าวประกอบการพิจารณาสั่งการหรือวางแผนตลอดมา

*สรุปหลักกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าวโดยการศึกษาค้นคว้า (1) อนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ.
1899 และ ค.ศ. 1907 (2) อนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 (3) พิธีสารเพิ่มเติมอนุสัญญาเจนีวา เมื่อวันที่
12 สิงหาคม ค.ศ. 1949 และที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากการขัดกันด้วยอาวุธระหว่าง
ประเทศ ค.ศ. 1977 (พิธีสารฉบับที่ 1) ลงวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1977 (4)​ ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วย
ศาลอาญาระหว่างประเทศ ลงวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1998

(5) เอกสารและหนังสือกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) และ(6) ปฏิญญาทางการเมืองว่าด้วยการเสริมสร้างการปกป้องพลเรือนจากผลกระทบด้านมนุษยธรรมอันเกิดจากการใช้อาวุธระเบิดในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น

ซึ่งภายใต้หลักการทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ปฏิญญา (Declaration) ไม่ใช่สนธิสัญญา (Treaty) และไม่เป็นอนุสัญญา(Convention) จึงไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ (Non-Binding under International Law) เป็นแต่เพียงการแสดงเจตน์จำนงทางการเมืองระหว่างประเทศ