8 กุมภาฯ หยุดวงจรเดิมๆ ใช้ปากกาสกัดบ้านใหญ่-ทุนเทา กาหน้าใหม่พลิกโฉมการเมือง

68

แม้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยจะมีอายุยืนยาวมาเกือบศตวรรษ แต่ระบบการเมืองและโครงสร้างอำนาจทางการเมืองมิได้พัฒนาตามอายุที่ยืนยาว แถมย่ำอยู่กับที่ โดยเฉพาะพฤติกรรมนักการเมืองเป็นที่ระอาของประชาชนทั่วทั้งประเทศ
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เล่นการเมืองเป็นอาชีพแต่อุดมการณ์หลักลอย สร้างบารมี อิทธิพล และความร่ำรวยจากอาชีพการเมือง ดำรงอยู่แบบนกรู้ว่า ถ้าจะอยู่ในอำนาจต่อควรจะไหลไปรวมกันที่ไหน

ขอยกตัวอย่างสถานการณ์หลังเผด็จการทหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลากรถถังออกมายึดอำนาจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมประกาศว่าขอเวลาอีกไม่นาน จะวางระบบการเมืองใหม่ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยครองอำนาจเบ็ดเสร็จเกือบสี่ปีถึงจัดการเลือกตั้งใหม่

เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ปรากฏภาพนักการเมืองใหญ่แห่เข้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ชู พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จังหวะนั้นจะได้ยินผายลมทางปากของนักการเมืองบ้านใหญ่อยู่แบบนกรู้ว่า มาเพื่อร่วมทำประโยชน์ให้บ้านเมืองและประชาชน พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคมีอุดมการณ์ เป็นสถาบันการเมือง จะอยู่ยืนยาวคู่ประเทศไทยไปอีกนาน

ครั้นผลเลือกตั้งออกมา พรรคเพื่อไทยชนะอันดับ 1 แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนล็อกไว้ว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ พอนั่งนายกฯ สมัยที่ 2 ความขัดแย้งทางผลประโยชน์เริ่มบังเกิด เสียงผายลมทางปากที่บอกว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นสถาบันการเมืองเริ่มแปรเปลี่ยน เครดิต พล.อ.ประยุทธ์ ถดถอย พลพรรคของพลังประชารัฐเริ่มระส่ำ หลายคนย้ายกลับรังเก่า ทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย หลายคนร่วมกันตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ หนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ผลเลือกตั้งออกมา พล.อ.ประยุทธ์ พ่าย พรรคที่หนุนกลับไปอ้อนวอนขอร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ขณะที่พรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายค้าน เมื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกุล มาเป็นนายกรัฐมนตรี พลังประชารัฐมาร่วมรัฐบาล รวมไทยสร้างชาติแตกยับ มีทั้งร่วมรัฐบาลและนั่งเป็นพระอันดับซีกฝ่ายค้าน

ณ เวลานี้ พรรคร่างทรงเผด็จการทั้งสองส่อว่าจะไปไม่รอด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐประกาศวางมือ พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค นำทัพสู้ศึก แต่เสียงไม่ค่อยดัง เพราะนักการเมืองบ้านใหญ่และนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ประกาศเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมใหม่ พาเหรดเข้าพรรคภูมิใจไทย แบบนกรู้ว่า นายอนุทิน ชนะเลือกตั้งและกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย เพราะมีแบ็กชั้นยอดและมี ส.ว.สีน้ำเงิน ยืนรอคอยคำสั่งพร้อมลุยกับฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบ

จึงไม่แปลกที่พรรคภูมิใจไทยกลายเป็นรังใหม่ของพวกนักการเมืองบ้านใหญ่ แม้แต่นายวราวุธ ศิลปอาชา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายบรรหาร ศิลปอาชา หอบ ส.ส.ทิ้งพรรคชาติไทยพัฒนา มรดกชิ้นสำคัญที่นายบรรหารฝากให้ดูแล หันไปซบพรรคภูมิใจไทย พร้อมอธิบายเหตุผลว่าเป็นรัฐบาลช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่า

นอกจากนี้ยังมีบ้านใหญ่ชลบุรี อย่างนายสนธยา คุณปลื้ม ขนพลพรรคเข้ารังภูมิใจไทยแบบไม่เคอะเขิน มีนายสุชาติ ชมกลิ่น ที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน มายืนรอรับต้อนรับแบบสบายใจเฉิบ พร้อมวาดฝันจะได้ ส.ส.แบบยกจังหวัดชลบุรี

ดังนั้นถ้ามองถึงเนื้อในแต่ละพรรค จะพบว่าพรรคภูมิใจไทยมีมุ้งบ้านใหญ่เข้าสังกัดมากที่สุด อาทิ บ้านใหญ่ชลบุรี อ่างทอง อุทัยธานี อุบลราชธานี สุพรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สงขลา ตรัง สตูล พัทลุง สุราษฎร์ธานี บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ หนองบัวลำภู นครพนม อำนาจเจริญ เพชรบุรี กระบี่ ชัยนาท สมุทรสาคร และระยอง เป็นต้น ตามด้วยพรรคกล้าธรรม ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มีบ้านใหญ่พาเหรดเข้าพรรค อาทิ สงขลา ประจวบคีรีขันธ์ นราธิวาส ฉะเชิงเทรา พะเยา และนครศรีธรรมราช เป็นต้น

สองพรรคนี้บ้านใหญ่วิเคราะห์ได้ทันทีว่ามีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง เพราะพร้อมทุกด้าน ทั้งอำนาจรัฐพร้อมกระสุนอย่างเหลือเฟือ ที่สำคัญถ้าพรรคภูมิใจไทยชนะเป็นอันดับ 1 หรืออันดับ 2 ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน เพราะมีองค์ประกอบที่เป็นแรงหนุนครบทุกด้าน

ขณะพรรคเพื่อไทย บรรดาสื่อและโพลสำนักต่างๆ ให้เครดิตแค่พรรคอันดับ 3 บ้านใหญ่ที่เคยสังกัดพาเหรดออกแบบไม่ใยดี แถมบางคนทิ้งพรรคแบบฉิวเฉียดเพื่อไม่ให้พรรคหาคนลงสมัครแข่งได้ทัน แม้จะอยู่ในสภาวะขาลง มีบ้านใหญ่สมุทรปราการขนพลพรรคเข้าซบ แม้คอการเมืองจะมองว่าเพื่อไทยขาลง แต่พอเปิดตัว ศาสตราจารย์ ดร.ยศนันท์ วงศ์สวัสดิ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมโชว์วิสัยทัศน์นำพาประเทศ คะแนนความนิยมกลับดีวันดีคืน

ด้านพรรคประชาธิปัตย์ คะแนนนิยมกระเตื้องขึ้นมาระดับหนึ่ง เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มานั่งหัวพรรคอีกรอบ พร้อมชูนโยบายปราบทุนเทาและปฏิเสธร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม

ขณะที่พรรคประชาชน ยังครองแชมป์ผลโพลทุกสำนัก แม้จะถูกวิจารณ์ว่าได้เสียค่าโง่ให้พรรคภูมิใจไทยก็ตาม แต่ยังเดินหน้าหาคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ พร้อมประกาศว่าถ้าชนะเลือกตั้งอันดับ 1 จะจัดตั้งรัฐบาลเพื่อประชาชนเท่านั้น

ถ้ามองจากบริบททั้งหมดจะพบว่าระบบการเมืองยังวนเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ หรือจะเรียกว่าวงจรอุบาทว์ก็คงไม่ผิด บ่อยครั้งที่ประชาชนใช้ปากกาเป็นอาวุธฆ่าวงจรอุบาทว์นี้ พอสำเร็จระดับหนึ่ง ก็หวนกลับมาในรูปแบบเผด็จการทหาร ส่งผลให้ประเทศถอยหลังกลับเข้าคลองดังเดิม

ดังนั้นเพื่อตัดวงจรอุบาทว์ ทุนสีเทา และหยุดพวกบ้านใหญ่ไม่ให้ไปต่อ ประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราทำได้เพียงใช้ปากกาเป็นอาวุธ เข้าคูหาเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 และเลือกตั้งใหญ่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ กาเลือกพรรคและ ส.ส. ที่มั่นใจว่ารับใช้ประชาชนคนส่วนใหญ่และมีผลงานจริง

แต่ทั้งนี้ทุกคนต้องหนักแน่น ไม่หวั่นไหวกับกระแสเงินที่มาจากเงินทุจริตและธุรกิจสีเทา คาดว่าสะพัดถึงสองหมื่นล้านบาท ถ้าทำได้เชื่อว่าช่วยพลิกโฉมการเมืองแน่นอน!!!