ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานครบ ยื่นศาลอาญาออกหมายจับ “นายสงกรานต์” ผู้ต้องหาคดียิงหนุ่มวัย 34 ปี เสียชีวิตคารถบนทางด่วนพิเศษศรีรัช หลังพบรถเวลไฟร์ใช้ก่อเหตุถูกนำไปจอดทิ้งโรงแรม จ.นครปฐม ก่อนหลบหนี พร้อมตั้งข้อสงสัยอาจมีผู้ร่วมก่อเหตุ และไม่ตัดประเด็นแรงจูงใจทั้งเหตุเฉพาะหน้าและธุรกิจสีเทา

จากกรณีเหตุยิงกันบนทางด่วนพิเศษศรีรัช ส่งผลให้นายอนุวรรตน์ฯ อายุ 34 ปี ถูกยิงเสียชีวิตภายในรถ เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ต่อมาตำรวจสืบสวนทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นายสงกรานต์ หรือที่รู้จักในชื่อ “กาน เวลไฟร์” ซึ่งได้ใช้รถตู้โตโยต้า เวลไฟร์ สีขาว หมายเลขทะเบียน 2กผ 7778 กรุงเทพมหานคร หลบหนีไปจอดทิ้งไว้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ก่อนจะหลบหนีไป
ภายหลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถคันดังกล่าวมาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น โดยให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบอย่างละเอียดตั้งแต่ช่วงค่ำที่ผ่านมา พร้อมกั้นพื้นที่บริเวณหน้าสถานีตำรวจด้วยแผงเหล็ก เพื่อรักษาสภาพพยานหลักฐาน
วันที่ 24 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าที่ สน.ประชาชื่น พบว่ารถเวลไฟร์คันดังกล่าวยังคงจอดอยู่ในพื้นที่ควบคุม โดย พ.ต.อ.ศักดิเดช กัมพลานุวงศ์ ผู้กำกับการ สน.ประชาชื่น เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานและรวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว จึงเดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อขอออกหมายจับนายสงกรานต์ ในข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, พยายามฆ่า และความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน”

ขณะเดียวกัน ฝ่ายสืบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ร่วมกับฝ่ายสืบสวน สน.ประชาชื่น อยู่ระหว่างเร่งติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี โดยมีข้อมูลว่าผู้ต้องหาอาจเตรียมหลบหนีออกนอกประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม การข่าวพบว่าผู้ต้องหาอาจใช้วิธีสับขาหลอกเจ้าหน้าที่ ทำให้ชุดสืบสวนต้องกระจายกำลังลงพื้นที่หลายจุด รวมถึงพื้นที่ภาคใต้ด้วย
ด้านการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า ผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงใส่ผู้เสียชีวิตจำนวน 3 นัด แต่จากการตรวจสอบของกองพิสูจน์หลักฐาน กลับไม่พบปลอกกระสุนจำนวน 2 นัด ทั้งภายในรถเวลไฟร์และในที่เกิดเหตุ จึงตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ต้องหาอาจเก็บปลอกกระสุนบางส่วนไปด้วย โดยบาดแผลของผู้ตายพบบริเวณลำคอเพียง 1 นัด
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังตั้งประเด็นว่าการก่อเหตุครั้งนี้อาจมีผู้ร่วมก่อเหตุมากกว่า 1 คน เนื่องจากรถเวลไฟร์มีลักษณะสูงกว่ารถยนต์ของผู้ตาย ทำให้การที่ผู้ต้องหาเป็นทั้งผู้ขับและใช้อาวุธปืนยิงเพียงลำพังอาจเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม ภาพจากกล้องวงจรปิดยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าภายในรถมีผู้โดยสารกี่คน
ทั้งนี้ ตำรวจยังไม่ตัดประเด็นแรงจูงใจใดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเหตุทะเลาะเฉพาะหน้าขณะขับขี่บนทางด่วนก่อนถึงด่านเก็บค่าผ่านทาง หรือประเด็นความขัดแย้งอื่น รวมถึงธุรกิจสีเทา โดยจากการตรวจสอบประวัติพบว่า ผู้ต้องหาเคยมีประวัติเคยต้องโทษในคดีข่มขืนมาก่อน
เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเร่งติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมยืนยันจะคลี่คลายคดีให้กระจ่างโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

