“ผบ.ต่าย”สั่งคุมเข้มโดรนรอบสุวรรณภูมิ เคลียร์ชัดไม่ใช่ภัยก่อวินาศกรรม ยังไม่พบแรงงานกัมพูชา–จารชนแฝงตัว

77

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งตรวจเข้มการบินโดรนรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังชาวบ้านพบแสงไฟปริศนา ตรวจสอบพบเป็นเครื่องบินและแสงจากหมู่ดาว ย้ำยังไม่พบแรงงานกัมพูชาใช้โดรนก่อกวน พร้อมเปิดยุทธการกวาดล้างต่างด้าวผิดกฎหมายทั่วประเทศ วันเดียวจับกว่า 1.2 หมื่นราย ยืนยันยังไม่พบจารชนต่างชาติแทรกซึมไทย

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

วันที่​ 22​ ธ.ค.68​ ที่​ ตร.พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเหตุเมื่อช่วงค่ำวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่าพบวัตถุลักษณะคล้ายโดรนบินอยู่บริเวณปลายเส้นทางบินรันเวย์ที่ 1 ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังรับแจ้งได้สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ผู้บังคับการสื่อสารตำรวจภูธรภาค 1 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจในพื้นที่รอบสนามบิน เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและตั้งจุดตรวจโดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่

จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและกองทัพอากาศ พบว่าแสงที่ประชาชนพบเห็นนั้นเป็นแสงจากเครื่องบินที่ทำการบินตามปกติ รวมถึงแสงจากหมู่ดาว ไม่พบการบินของโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับในพื้นที่ต้องห้ามแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กำชับเตือนประชาชนและผู้ครอบครองโดรนให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการนำโดรนขึ้นบินในพื้นที่หวงห้าม โดยเฉพาะบริเวณสนามบิน ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีโทษหนักสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกระแสข่าวความเป็นไปได้ของการแฝงตัวหรือใช้โดรนก่อกวนโดยแรงงานจากประเทศกัมพูชาในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า จากข้อมูลด้านการข่าวในขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานว่าเป็นการกระทำของแรงงานกัมพูชา หรือกลุ่มบุคคลจากต่างประเทศแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ภายหลังสถานการณ์ความตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา ได้สั่งการให้เร่งปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.สำราญ นวลมา และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีลาบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่กำกับดูแลงานด้านความมั่นคงและการปราบปราม แยกหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการอย่างเข้มข้น​ โดยฝ่ายความมั่นคงได้เปิดปฏิบัติการ “ยุทธการเอาพวกต่างด้าวออกนอกประเทศ” เพื่อกวาดล้างชาวต่างชาติและแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย โดยเพียงวันเดียวสามารถจับกุมชาวต่างชาติผิดกฎหมายได้มากกว่า 12,000 ราย ซึ่งทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศทันที ขณะนี้อยู่ระหว่างการแยกสัญชาติและวิเคราะห์ข้อมูลว่าเข้ามาประกอบกิจกรรมหรือธุรกิจใดในประเทศไทย​ พร้อมระบุ​ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีรายชื่อชาวต่างชาติที่ต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบเพิ่มเติมประมาณ 300,000 ราย โดยอยู่ระหว่างการถอดและวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางเข้า–ออกประเทศของกลุ่มบุคคลดังกล่าวอย่างละเอียด

เมื่อถามถึงจำนวนชาวกัมพูชาที่เข้ามาโดยผิดกฎหมายหรืออยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จัดส่งข้อมูลมาเป็นเอกสารจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนว่ามีชาวต่างชาติในกลุ่มที่ต้องตรวจสอบเป็นจำนวนมากเช่นกัน

ส่วนประเด็นความกังวลเรื่องการแทรกซึมของจารชนจากประเทศกัมพูชา พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลหรือหลักฐานว่ามีจารชนจากประเทศดังกล่าวเข้ามาซุกซ่อนในประเทศไทย แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงของตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียด หากพบจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย

นอกจากนี้ยังได้เตือนผู้ประกอบการหรือเจ้าของสถานที่ที่ให้ที่พักพิงหรือจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายว่า จะถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด และหากแรงงานเหล่านี้ออกไปก่อเหตุสร้างความวุ่นวายในพื้นที่ ผู้เกี่ยวข้องอาจมีความผิดเพิ่มเติม

สำหรับกรณีเหตุทะเลาะวิวาทของชาวกัมพูชาในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ที่มีการใช้อาวุธมีดและขว้างระเบิดปิงปอง จากการตรวจสอบล่าสุดไม่พบว่าเป็นการก่อวินาศกรรมหรือการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ แต่เป็นการทะเลาะกันระหว่างชาวกัมพูชา 2 กลุ่มที่ท้าทายกันไปมา โดยมีผู้ก่อเหตุรวม 11 คน สามารถจับกุมได้แล้ว 3 คน และไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงแต่อย่างใด