กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การ อำนวยการขอ’ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม, พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป., พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.อนุสรณ์ ทองไสย รรท.ผกก.6 บก.ป., พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล, พ.ต.ท.วชิระ ศุภพิสิฐกุล, พ.ต.ท.ทินกร มณีรัตน์, พ.ต.ท.กิติภูมิ ศรีแผ้ว และ พ.ต.ท.นรบดี ดวงจิตต์ รอง ผกก.6 บก.ป. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พ.ต.ต.จอมพฤทธิ์ แก้วเรือง สว.กก.6 บก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.ต.ภัทราวุธ ดำราษฎร์ สว.กก.6 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชป.7 กก.6 บก.ป.

ร่วมกันจับกุม นายพรเทพฯ อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5043/2567 ลง 17 ต.ค. 2567 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และอั้งยี่” ตามหมายจับศาลอาญา สถานที่จับกุม หอพักครูแห่งหนึ่งในพื้นที่ ม.6 ต.ผาสิงห์ อ.เมืองน่าน จ.น่าน

พฤติการณ์ เมื่อประมาณปลายปี 2566 กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ใช้หมายเลขโทรศัพท์จากต่างประเทศ โทรติดต่อผู้เสียหาย แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ หลอกลวงว่าผู้เสียหายมีบัญชีธนาคารเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ โดยมีการวิดีโอคอลแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจนผู้เสียหายหลงเชื่อ ผู้เสียหายได้โอนเงินรวม 19 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 927,982 บาท ก่อนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ผ่านศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) บช.ก. ซึ่งได้มอบหมายให้ กก.6 บก.ป. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการสืบสวนสอบสวน
จากการสืบสวนพบว่า คดีดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เข้าข่ายเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ต่อมา บก.ป. ได้รวบรวมพยานหลักฐานและขอศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้อง รวม 14 ราย นำมาสู่ปฏิบัติการ “ทลายเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ รวบพนักงานและบัญชีม้า หยุดวงจรคอลเซ็นเตอร์จึงเป็นที่มาของการเปิดปฏิบัติการ” ในวันที่ 24 ก.ย.2567 เข้าตรวจค้นและจับกุม 9 จุดทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 12 ราย พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือและบัญชีธนาคารจำนวนมาก
จากปฏิบัติการได้ข้อมูลจากหนึ่งในผู้ต้องหาที่เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ว่า การทำงานเป็นไป โดยสมัครใจ ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ โดยทำงานในอาคารหลายชั้นในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ละชั้นแบ่งเป็นหลายห้อง ซึ่งล้วนเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบการหลอกลวงที่แตกต่างกัน มีชายชาวจีนเป็นผู้ควบคุมสั่งการ โดยสั่งการผ่านหัวหน้าพนักงานคนไทย ซึ่งทำหน้าที่ควบคุม ดูแล มอบหมายงาน และออกแบบบทสนทนาในการหลอกลวงเหยื่อ โดยยืนยันว่า นายพรเทพฯ เป็นหัวหน้าพนักงานคนไทยของขบวนการดังกล่าว นำไปสู่การออกหมายจับ นายพรเทพฯ ตามหมายจับดังกล่าวข้างต้น
จากการสืบสวนทราบว่า นายพรเทพฯ มักใช้ช่องทางธรรมชาติในการข้ามแดนไทย–กัมพูชา ทำให้ยากต่อการติดตามตัวจับกุม กระทั่ง เจ้าพนักงานตำรวจ กก.6 บก.ป. ได้สืบสวนทราบว่า นายพรเทพฯ ได้หลบหนีกลับมายังภูมิลำเนาที่ จ.น่าน เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา จึงได้เข้าตรวจสอบจนสามารถติดตามจับกุมได้ตามหมายจับทั้งหมดข้างต้นส่ง กก.6 บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนทุกท่าน ที่ผ่านมาพบว่าคนไทยจำนวนมากไปทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ในต่างประเทศด้วยความสมัครใจ เนื่องจากมีรายได้สูงและความเป็นอยู่ดี ทั้งนี้ จากสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบัน พบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติบางส่วนได้อาศัยจังหวะดังกล่าวหลบหนีกลับเข้ามาพำนักหรือซ่อนตัวอยู่ภายในประเทศไทย
หากประชาชนพบเบาะแสหรือข้อมูลบุคคลต้องสงสัยที่อาจเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว ขอให้แจ้งข้อมูลมายังตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่นำไปตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

