วันที่ 8 ธ.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนภดล สฤษดิศุข เผยแพร่คลิปวีดิโอผ่าน เฟสบุ๊ก “Nophdol Salisdisouk” เพื่อขออภัยนางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (รมว.กต.) หลานสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีกล่าวหานางสาวชยิกา เป็น “หลานสะใภ้ฮุนเซน” และเป็น “ไส้ศึกทั้งตระกูล” โดยคลิประบุว่า “ข้อความที่ข้าพเจ้า นำมาจากแหล่งข่าวอื่น มารีโพสต์ กล่าวหาว่า ชยิกา เป็น “หลานสะใภ้ฮุนเซน” และเป็น “ไส้ศึกทั้งตระกูล” ในช่วงเหตุการณ์สู้รบไทย-กัมพูชานั้น ข้าพเจ้าได้ทราบภายหลังว่าข้อความดังกล่าว “เป็นเท็จทั้งหมด” จึงได้ลบทันที
ขณะที่ข้อเท็จจริงคือในช่วงดังกล่าว น.ส.ชยิกา ในฐานะที่ปรึกษาของ รมว.กต. ติดตามสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด พร้อมวิเคราะห์ เสนอข้อชี้แนะ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม ตลอดจนให้คำปรึกษา และสนับสนุนการสื่อสารกับประชาคมระหว่างประเทศกว่า 90 ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสื่อไทย และต่างประเทศกว่า 100 ราย เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกล้ำ และใช้กำลังต่อพลเรือนไทยก่อน ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานเพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มกำลัง
นายนภดล กล่าวว่า ดังนั้นข้อความที่โพสต์ จึงเป็นเท็จ รุนแรง และไม่ยุติธรรมต่อ น.ส.ชยิกา และตระกูลชินวัตร เพราะคำว่า “ไส้ศึก” สื่อถึงการเป็น “คนขายชาติ” ซึ่งประชาชนทั่วไปอาจเข้าใจว่า เป็นการกระทำเข้าข่ายความผิดอาญาร้ายแรง มีอัตราโทษถึงขั้นประหารชีวิต ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของชยิกา และตระกูลชินวัตร อีกทั้งยังสร้างความแตกแยกในสังคมในห้วงวิกฤติด้านความมั่นคงของประเทศ
“แม้ข้าพเจ้าจะลบโพสต์ดังกล่าวไปแล้ว แต่ข้อความได้ถูกเผยแพร่ไปในวงกว้าง สร้างผลกระทบที่ไม่อาจย้อนคืน และถูกบุคคลผู้ไม่หวังดี นำไปขยายผลสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคม ข้าพเจ้ายอมรับว่า การกระทำของข้าพเจ้าเกิดจากความพลาดพลั้ง ขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริง และหลงเชื่อข่าวลวง ที่ผู้อื่นสร้างขึ้นเพื่อโจมตีอีกฝ่าย จนทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อบุคคลและต่อประเทศชาติ ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกผิด ที่ทำให้คุณชยิกาและวงศ์ตระกูลต้องเสียหาย จึงใคร่ขออภัยต่อคุณชยิกาทางสาธารณะ มา ณ ที่นี้” นายนภดล กล่าว
ขณะที่ นางสาวชยิกา กล่าวว่า หลังจากที่ฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท นายนภดล ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่กล่าวหาตน และครอบครัวชินวัตร ว่าเป็นไส้ศึกเขมร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮุนเซนนั้น ในวันนี้ (8) ศาลพิพากษาจำคุกจำเลย 2 ปี ปรับ 50,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ พร้อมแถลงขอโทษในที่สาธารณะ ศาล จึงพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงให้จำคุก 1 ปี ปรับ 25,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า การบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกล่าวหาให้ร้ายใครคนใดคนหนึ่ง หรือครอบครัวหนึ่ง ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่คนไทยทุกคนในประเทศควรเปิดใจ ลดอคติ และช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
