จาก ‘นักสืบฝุ่น’ สู่แผนสู้ PM2.5 กทม. ยกระดับ 10 มาตรการ ชี้ต้นตอฝุ่น 3 แหล่งหลัก มุ่งสู่กรุงเทพฯ อากาศสะอาด ประชาชนหายใจได้เต็มปอด

193

(8 ธ.ค. 68) เวลา 13.00 น. ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร : นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงมาตรการสู้ฝุ่น ประกาศยกระดับ 10 มาตรการ เพื่อควบคุม ลด และขจัดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ 3 ประการ คือ สภาพอากาศปิด การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และการเผาชีวมวล (การเผาไหม้การเกษตร) เพื่อกรุงเทพฯ อากาศสะอาด ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้มีประกาศเรื่อง กำหนดให้ท้องที่เขตกรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม ของทุกปี เนื่องจากกรุงเทพมหานครประสบปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568)

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า เรื่องฝุ่นเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น และเป็นเรื่องที่มีผลต่อการอยู่รอดของเมืองในอนาคต เพราะเรื่องคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องสำคัญต้องเอาจริงเอาจัง เป็นหนังยาวเหมือนการวิ่งมาราธอน ต้องขอบคุณทุกภาคีเครือข่ายที่ร่วมทำกันอย่างต่อเนื่องและเริ่มเห็นผลที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเรื่องฝุ่นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ต้องรู้ถึงต้นตอของการเกิดฝุ่นที่ชัดเจนทั้งจากการเผาชีวมวลและรถยนต์ เพื่อให้สามารถแก้ไขได้ถูกจุดอย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายแล้วเชื่อว่าเราจะต่อสู้กับฝุ่นได้เหมือนที่หลายเมืองในโลกทำด้วยการใช้วิทยาศาสตร์เป็นตัวนำ

“เรื่องนี้ต้องสู้จนทุกคนมีอากาศบริสุทธิ์หายใจได้ทุกวัน ไม่ต้องมีสีส้ม ไม่มี PM2.5 ในกรุงเทพฯ เชื่อว่าปีหน้าจะเห็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญหลายอย่าง มีศูนย์จากหลายประเทศมาช่วยวิเคราะห์ฝุ่นแบบเรียลไทม์ให้เห็นว่าฝุ่นมาจากไหน ทำให้เราไปดูแลที่ต้นตอได้ละเอียดขึ้น” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว

  • จาก “นักสืบฝุ่น” สู่มาตรการสู้ฝุ่นเมืองกรุง

ภายใต้แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา กรุงเทพมหานคร ได้กำหนดภารกิจ “นักสืบฝุ่น” เพื่อประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ดำเนินการศึกษาข้อมูลองค์ประกอบฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ สำหรับใช้ประกอบการกำหนดมาตรการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยฝุ่นในกรุงเทพฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเผาชีวมวล (การเผาไหม้การเกษตร) สภาพอากาศปิด และการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ กรุงเทพมหานครได้ดำเนินตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นต่อเนื่องตลอดปีทั้ง 365 วัน โดยในช่วงปลายปี (เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคมของทุกปี) ซึ่งมีปริมาณฝุ่นที่สูงขึ้น กรุงเทพมหานคร จะดำเนินมาตรการเข้มข้นขึ้น โดยในปี 2569 ได้ยกระดับ 10 มาตรการ ดังนี้

  1. ยกระดับมาตรการเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone : LEZ) ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ 50 เขต เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด จากการเผาไหม้เครื่องยนต์ LEZ โดยเฉพาะรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป จากเดิมที่ครอบคลุมพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก 22 เขต (เต็มพื้นที่ 9 เขต บางส่วน 13 เขต) โดยจะบังคับใช้เมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศสถานการณ์ฝุ่นวิกฤต เมื่อค่า PM2.5 สูงเกินมาตรฐาน โดยกรุงเทพมหานคร ได้ทำระบบลงทะเบียน Green List สำหรับยานพาหนะที่ผ่านมาตรฐานการปล่อยไอเสีย โดยรถที่ใช้พลังงานสะอาด (EV, NGV, EURO 5-6) และรถที่ผ่านการบำรุงรักษาตามมาตรฐาน เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และไส้กรองอากาศ ให้ลงทะเบียน “บัญชีสีเขียว หรือ Green List” เพื่อรับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ ปัจจุบันมีรถบรรทุก 6 ล้อ ขึ้นไปลงทะเบียน “บัญชีสีเขียว” จำนวน 14,000 คัน นอกจากนี้ กทม. ได้ใช้กล้อง CCTV อัจฉริยะ เพื่อตรวจจับสภาพการปล่อยมลพิษในพื้นที่ มาตรการนี้ช่วยลดมลพิษในพื้นที่นำร่องได้กว่า 15% ถือเป็นมาตรการเชิงพื้นที่ที่ช่วยลดมลพิษ “ปลายท่อ” และสร้างมาตรฐานการปล่อยไอเสียที่เข้มแข็งขึ้นภายในเมือง
  2. โครงการ Green List Plus ส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด และลงทะเบียน Green List Plus เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตั้งเป้าปี 2569 จำนวน 500,000 คัน โดยเชิญชวนประชาชนนำรถยนต์ 4 ล้อ เข้ากระบวนการบำรุงรักษา ได้แก่ การตรวจสภาพรถ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ ณ ศูนย์บริการบำรุงรักษารถที่เข้าร่วมโครงการรถคันนี้ลดฝุ่น และคลินิกรถลดฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่บัดนี้ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569 และลงทะเบียนบัญชีสีเขียวกลุ่มรถยนต์ 4 ล้อ (Green List Plus) ผ่านการสแกน QR Code ณ ศูนย์บริการที่นำรถยนต์เข้ารับบริการ เพื่อสนับสนุนโครงการรถคันนี้ลดฝุ่น และคลินิกรถลดฝุ่นละออง PM2.5
  3. เพิ่มความเข้มข้นมาตรฐานการจัดการรถยนต์ควันดำห้ามเกิน 20% จากเดิมห้ามเกิน 30% เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด เพิ่มความเข้มข้นการตรวจวัดค่าควันดำ เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เฉลี่ยเรียกตรวจเดือนละ 10,000 คัน เพียงครึ่งเดือนแรกที่มีการปรับมาตรฐาน จับเพิ่มได้ 3.6 เท่า เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา
  4. ยกระดับการตรวจรถในไซต์ก่อสร้าง/สถานประกอบการ เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด จากไซต์ก่อสร้าง โดยสุ่มตรวจวัดค่าควันดำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝุ่น รวมถึงให้รถ 6 ล้อขึ้นไปลงทะเบียน Green List
  5. ยกระดับการจัดการมลพิษในโรงงาน และสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำทุกแห่ง (รวม 256 โรงงาน) เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด ติดตั้งระบบตรวจวัดมลพิษทางอากาศที่ปล่อยจากปล่องอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง หรือ CEMS และเพิ่มความเข้มข้นของมาตรฐานมลพิษจากปล่องหม้อน้ำ ได้แก่ TSP เข้มข้นขึ้น 78%, SO2 เข้มข้นขึ้น 87% NOx เข้มข้นขึ้น 60% ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายในช่วงที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับร่างประกาศฯ เพื่อดำเนินการต่อไป
  6. ยกระดับการประสานงาน และสนับสนุนจังหวัดข้างเคียง ในการทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อสนับสนุนการลดการเผาชีวมวล (การเผาไหม้การเกษตร) เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด จากการเผาชีวมวล (การเผาไหม้การเกษตร)
  7. ยกระดับการจัดทำห้องปลอดฝุ่น แล้วเสร็จในปี 2568 ในโรงเรียน 971 ห้อง (49%) และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 115 แห่ง (44%) ตั้งเป้าหมาย 100% โรงเรียน 1,966 ห้อง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 262 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม 2569
  8. ยกระดับมาตรการ Work From Home: WFH เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐ เอกชน และประชาชน จะมีส่วนร่วมลดปัญหาฝุ่นการจราจร โดยลดการเดินทาง ดูแลสุขภาพตัวเอง และลดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยปี 2569 ตั้งเป้าเข้าร่วมสูงสุด 300,000 คน จากปี 2568 ที่ตั้งเป้าหมาย 200,000 คน ปัจจุบันมีหน่วยงานลงทะเบียนเข้าร่วมเป็นเครือข่าย WFH แล้ว 211,541 คน จาก 368 หน่วยงาน โดยในปีนี้ปรับเพิ่มแนวทางการร่วม WFH เป็น 2 แบบ คือ (1) WFH เมื่อ กทม. ประกาศขอความร่วมมือ ภายใต้เงื่อนไข หากพบค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ในระดับสีส้ม (ค่า PM2.5 ตั้งแต่ 37.6 – 75.0 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 35 เขตขึ้นไป (70% ของพื้นที่กรุงเทพฯ) อัตราการระบายอากาศ (VR) ไม่ดี คือ น้อยกว่า 2,000 ตารางเมตรต่อวินาที และพบจุดความร้อน (จุดเผา) เกินวันละ 80 จุด ติดต่อกัน 3 วัน โดยในปีนี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ประกาศขอความร่วมมือ WFH ไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 68 (2) หน่วยงาน Work From Home (WFH) อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน ระหว่างเดือนมกราคม 2568 ถึงเดือนมีนาคม 2569 ทั้งนี้ หน่วยงาน/องค์กร สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งลดฝุ่นจากภาคการจราจร โดยลงทะเบียนร่วมเป็นเครือข่าย WFH ได้ที่ลิงค์ https://u.bangkok.go.th/WFH2569 สอบถาม โทร. 0 2203 2951
  9. ยกระดับการแจ้งเตือน โดยแจ้งเตือนผ่าน Social Media ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน AirBKK ซึ่งปัจจุบันมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมถึงช่องทางอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานคร และ Line Alert พร้อมเพิ่มช่องทาง Cell Broadcast และระบบพยากรณ์คาดการณ์ฝุ่นรายเขตเรียลไทม์ เพิ่มเป็น 7 วัน จากเดิม 3 วัน โดยมีการแจ้งเตือนค่าฝุ่นในเชิงพื้นที่ และแนะนำวิธีการดูแลตนเองในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง มีการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษให้กับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ด้วย นอกจากนี้ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยสามารถแจ้งเหตุหรือแหล่งกำเนิดฝุ่นได้ทาง Traffy Fondue
  10. เพิ่มพื้นที่สีเขียว ด้วยการปลูกต้นไม้ล้านต้น เพิ่มเป้าหมายเป็น 3 ล้านต้น จากตอนนี้ปลูกไปแล้วกว่า 2.2 ล้านต้น และเพิ่มสวน 15 นาที ให้ครบ 500 แห่ง ตามเป้าหมาย ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 441 แห่ง

จับมือ 5 พื้นที่เป้าหมายในภาคกลาง บูรณาการลดเผาแก้ PM2.5

นอกจากนั้น ยังได้บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานขับเคลื่อนมาตรการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปี 2569 ในพื้นที่ภาคกลาง หารือแนวทางลดการเผาในพื้นที่เกษตร ในพื้นที่เป้าหมาย 5 จังหวัดต้นลม ประกอบด้วย นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สระแก้ว รวมถึงควบคุม และลดการเผาในพื้นที่ป่า เพื่อควบคุมและลดมลพิษในพื้นที่เมือง ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วย โดยจะมีการสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรถึงผลกระทบการเผา เสนอตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จังหวัด และ กทม. เสนอแนวทางจัดปฏิทินการเผาหากจำเป็น

ในการนี้ นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร พญ.เลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง รองปลัดกรุงเทพมหานคร นางสาววรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ดร.อุดม หงส์ชาติกุล ผู้จัดการและเลขานุการ สภาลมหายใจกรุงเทพฯ และผู้เกี่ยวข้องร่วมงาน