กรมคุ้มครองสิทธิเดินหน้ากฏหมายป้องกันปราบปรามการทรมานและทำให้สูญหาย เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐกระทำโหดร้ายย่ำยีศักดิ์ศรีรับแจ้งสูญหายกว่า 100 ราย 3 ปี เยียวยาแล้ว 12 ราย 4.2 ล้านบาท

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 2 ธ.ค. ที่กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวีรยุทธ แก้วสิงห์ รองอธิบดีปฎิบัติราชการแทนอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิ์และเสรีภาพ นางธัญสุดา หน่อแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างการรับรู้ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 โดยมีเครือข่ายมูลนิธิ ผู้แทนภาคประชาชน และมีเจ้าหน้าที่สื่อมวลชนร่วมประชุม
นายธีรยุทธ กล่าวว่า กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานเริ่มใช้มาก้าวสู่ปีที่ 3 แล้ว มีหลายกรณีที่เข้าข่ายตามกฏหมายนี้ โดยถึงปัจจุบันมีการเยียวยาตามกฏหมายนี้แล้ว โดยการเยียวยาในรูปแบบตัวเงินทรมาน 500,000 บาท โหดร้าย 100,000-250,000 บาท กระทำให้บุคคลสูญหาย 500,000 บาท การยื่นขอรับการช่วยเหลือเยียวยา ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ส่วนในจังหวัดอื่นให้ยื่นที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ส่วนผลงาน 1 ปี ที่ผ่านมามีการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายเข้าสู่การพิจารณา 19 ราย อนุมัติเยียวยา 12 ราย ชะลอเรื่อง 1 ราย ได้รับการเยียวยาจากกฎหมาย 1 ราย ยุติเรื่อง 1 ราย รวมเงินเยียวยาทั้งสิ้น 4,203,705 บาท

นายธีรยุทธ กล่าวอีกว่า เช่นกรณีที่ซ้อมทรมานในค่ายทหาร พลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล ถูกครูฝึกและผู้ช่วยครูฝึกรวม 13 คน ร่วมกันลงโทษในลักษณะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำร้ายร่างกาย ด้วยวิธีการรุนแรงและต่อเนื่องจนเสียชีวิต ศาลพิพากษาจำคุครูฝึกทั้ง 13 คน ทางกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเยียวยาเงิน 500,000 บาท ส่วนกรณีที่ครูพละลงโทษตีเด็กนักเรียน 4 คน ด้วยการตีกก้นคนละ 60 ที จนแผลพกซ้ำคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการสอบสวนของสถานีตํารวจภูทรศรีราชา ทางกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเยียวยาคนละ 100,000 บาท ให้แก่เด็กนักเรียน 4 คน และมีการฟื้นฟูด้านจิตใจแก่ผู้เสียหาย และกรณีที่ซ้อมทรมานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เข้าใจผิดว่าเป็นรถที่ฝ่าด่านจนบาดเจ็บสาหัส
นายธีรยุทธ กล่าวอีกว่า กฏหมายนี้มีหลักคือ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐกระทำ ไม่เฉพาะ เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่หากถูกเจ้าหน้าที่กระทำอาจเป็นครู พระ เจ้าหน้าที่อสม. ก็เข้าข่ายกฏหมายนี้ที่จะส่งผลให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษที่หนักกว่ากฏหมายอาญาทั่วไป หลักสำคัญ คือ ถูกทรมาน ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีโหดร้ายทารุณ หรือถูกทำให้สูญหาย ผู้ถูกกระทำ สามารถแจ้งได้ที่กรมคุ้มครองสิทธิ แม้ไม่แน่ใจว่าเข้าข่ายหรือไม่ กฏหมายก็คุ้มครองไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวโทษฟ้องกลับ เหยื่อจึงไม่ต้องกังวล นอกจากนี้ กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมาน ยังกำหนดโทษผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการทรมานเท่ากับเจ้าหน้าที่รัฐที่สั่งการด้วย ทั้งนี้ ฝากถึงประชาชนหากพบเห็นกรณีเข้าข่ายซ้อมทรมานแจ้งกรมคุ้มครองสิทธิตรวจสอบได้ สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ กฏหมายนี้กำหนดให้ต้องบันทึกภาพและเสียงในการควบคุมตัวและแจ้งพนักงานอัยการทุกคดี จึงจะใช้เป็นหลักฐานกรณีถูกร้องเรียนได้ ซึ่งกฏหมายนี้จะเน้นเชิงป้องกัน

นางธัญสุดา กล่าวว่า การกระทำทรมานผู้กระทำ คือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลอื่นที่ใช้อำนาจรัฐ การกระทำ คือกระทำต่อร่างกายหรือจิตใจผู้อื่น วัตถุประสงค์ คือเพื่อให้ได้ข้อมูลหรือให้รับสารภาพ เพือลงโทษ (ไม่รวมถึงการลงโทษตามกฎหมาย) เพื่อข่มขู่บุคคลนั้นหรือบุคคลที่สาม เพื่อเลือกปฎิบัติต่อบุคคลนั้นโดยเฉพาะ ผลทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ การกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักความเป็นมนุษย์ โดยผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.มีสิทธิที่จะรู้ความจริง สิทธิเข้าถึงข้อมูลการควบคุมตัว สิทธิยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ยุติการกระทำความผิดและได้รับการเยียวยาเบื้องต้น สิทธิได้รับการฟื้นฟูเยียวยาทั้งทางร่างกายและจิตใจ สิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน สิทธิรับทราบความคืบหน้าของคดีอย่างต่อเนื่อง สิทธิได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย สิทธิฟ้องร้องดำเนินคดี
ส่วนกรณีมี่ถูกทำให้สูญหาย ปัจจุบันมีจำนวนคนหายที่แจ้งไว้กับกรมคุ้มครองสิทธิฯอยู่ระหว่างติดตามกว่า 100 ราย ซึ่งมีทั้งกลุ่มคนที่สูญหายตั้งแต่ 50 ปี ที่แล้วยุคปราบคอมมิวนิสต์ และกรณีสูญหายข่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางการเมือง

