“ทวี” นำทีม กมธ.นิรโทษกรรมที่ดิน รับฟังความเห็นชาวภูเก็ต เตรียมไป 3 จชต. 5-7 ธ.ค.นี้ ชี้ชาวใต้โชคร้าย แผนที่ทางอากาศปี 2495 หาย ทำเสียเปรียบพิสูจน์สิทธิ

469

จังหวัดภูเก็ต, วันที่ 29 พฤศจิกายน – พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราช บัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ (กมธ.นิรโทษกรรมที่ดิน) เดินทางไปรับฟังความเห็นภาคประชาชน ที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลรัษฎา ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต โดยมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบ, นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล สส.ภูเก็ต พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ และคณะฯ ร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความเห็นด้วย

พันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า ปัญหาเรื้อรังที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามามาก คือกรณีที่รัฐไปประกาศเขตป่าทับพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ก่อน หรือที่เรียกว่า “ป่ารุกคน” ซึ่งแม้จะมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อแก้ไขปัญหาและพิสูจน์สิทธิมาตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล ชาวบ้านมักจะแพ้คดี เนื่องจากมติ ครม. มีศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่าพระราชบัญญัติ

พันตำรวจเอก ทวี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความโชคร้ายของชาวใต้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงมา ในเรื่องการพิสูจน์สิทธิด้วยแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ โดยระบุว่าในปี พ.ศ. 2495 ประเทศไทยมีแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเกือบทั้งประเทศ แต่กลับหาไม่พบในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้แผนที่ปี พ.ศ. 2510 แทน ซึ่งห่างกันหลายปี ทำให้ชาวบ้านเสียเปรียบในการพิสูจน์สิทธิตามหลักวิทยาศาสตร์

นอกจากนี้ ประธาน กมธ.นิรโทษกรรมที่ดิน ยังกล่าวถึงผลกระทบจากนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” ในยุค คสช. ที่มีเป้าหมายปราบปรามนายทุนรุกป่า แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่ามีการจับกุมดำเนินคดีกับชาวบ้านผู้ยากไร้ โดยใช้วิธีนำที่ดินแปลงเล็กของชาวบ้านมารวมกันให้เป็นแปลงใหญ่เพื่อให้เข้าเงื่อนไขนโยบาย หรือการดำเนินคดีแบบ “คดีไม่มีตัว” (ยึดที่ดินไว้ก่อน ใครมาแสดงตัวก็ถูกจับ) ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องติดคุกและเสียสิทธิในที่ดินทำกิน

“วันนี้กฎหมายที่เรายกร่างเบื้องต้นเสร็จแล้ว แต่เพื่อให้เกิดความรอบคอบและไม่ถูกโจมตีว่าไปเอื้อนายทุน เราต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้สามารถคืนความยุติธรรมให้กับคนภูเก็ตและพี่น้องชาวใต้ได้อย่างแท้จริง โดยจะแยกแยะระหว่างชาวบ้านผู้ยากไร้กับกลุ่มนายทุนนอมินีให้ชัดเจน” พันตำรวจเอก ทวี กล่าว

โดยกฎหมาย “นิรโทษกรรมแก่ราษฎรในเรื่องที่ดิน” ที่เสนอโดยพันตำรวจเอกทวี ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่มุ่งเน้นแก้ปัญหาให้ประชาชนทั่วไปโดยตรง ต่างจากในอดีตที่การนิรโทษกรรมมักจะเกี่ยวข้องกับคดีทางการเมืองหรือความขัดแย้งทางสีเสื้อเท่านั้น

พันตำรวจเอก ทวี ชี้ให้เห็นถึงต้นตอของปัญหาว่า เกิดจากการที่รัฐประกาศเขตป่าสงวนหรืออุทยานฯ ทับที่ดินทำกินของชาวบ้านที่อยู่อาศัยมาแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย โดยกระบวนการประกาศเขตในอดีตขาดความรอบคอบ บางพื้นที่ใช้วิธีการ “นั่งเครื่องบินสำรวจ” แทนการเดินสำรวจจริง ทำให้บ้านเรือนและที่ทำกินของประชาชนถูกผนวกเป็นเขตป่าโดยไม่รู้ตัว “ที่ดินเป็นของปู่ อยู่มาได้ พอมารุ่นพ่อก็ยังอยู่ได้ แต่พอมารุ่นลูก กลายเป็นป่าสงวน กลายเป็นอุทยานฯ ประชาชนกลายเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย ทั้งที่เขาอยู่มาก่อน รัฐไปประกาศเขตทับที่ของเขา ทำให้เขาไม่มีสิทธิ์สู้คดีในศาล” พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง กล่าว

พันตำรวจเอก ทวี ยังกล่าวถึงความล้มเหลวของการแก้ปัญหาในอดีต โดยเฉพาะมติคณะรัฐมนตรี ที่ระบุให้ยุติการจับกุมและให้มีการพิสูจน์สิทธิ แต่จนถึงปัจจุบันผ่านมากว่า 40 ปี กระบวนการพิสูจน์สิทธิก็ยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ประชาชนตกอยู่ในสถานะ “ตอนเกิดมีแผ่นดินอยู่ แต่ตอนตายกลายเป็นผู้บุกรุก” ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ มีเป้าหมายเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับราษฎรในพื้นที่พิพาทที่มีอยู่ประมาณ 4.7 ล้านไร่ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามเขายอมรับว่ามีความกังวลจากกลุ่มอนุรักษ์ ว่ากฎหมายนี้อาจถูกใช้เป็นช่องทางเอื้อประโยชน์ให้นายทุนหรือต่างชาติที่ใช้นอมินี ซึ่งคณะทำงานตระหนักดีและยืนยันว่าจะต้องมีกลไกคัดกรองที่เข้มงวด เพื่อให้การนิรโทษกรรมนี้ตกถึงมือชาวบ้านผู้เดือดร้อนตัวจริงเท่านั้น

ประธาน กมธ.นิรโทษกรรมที่ดินกล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตถือเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่สร้างรายได้มหาศาลและทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นชาวภูเก็ตจึงสมควรได้รับการดูแลเอาใจใส่และได้รับความยุติธรรมเป็นการตอบแทน รวมทั้งดีใจที่ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ มีตัวแทนจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ภูเก็ต เข้าร่วมรับฟังด้วย

นายฐิติกันต์ ในฐานะโฆษก กมธ. กล่าวว่า  กมธ.นัดประชุมรับฟังความเห็นเพิ่มเติมในวันที่ 5-7 ธันวาคม 2568 ที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ตามลำดับ ต่อไปเพื่อให้ร่างกฎหมายฉบับนี้สามารถอำนวยความยุติธรรมได้สูงสุด เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และวาระ 3 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่จะเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญประจำปีครั้งที่ 2)