เปิดเทศกาล “ชีวิตที่ปลอดภัยสำหรับคนทุกเพศ” นักวิชาการ–ผู้เผชิญความรุนแรง–คนข้ามเพศ ร่วมชำแหละโครงสร้างความรุนแรงที่ฝังลึกในครอบครัว สังคม และสถาบันรัฐ เผยช่องโหว่ระบบช่วยเหลือเด็กและผู้หญิงที่ยังผูกกับอคติทางเพศ ขณะที่มีกรณีผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิตบางรายละเมิดผู้รับบริการ กลายเป็น ‘บาดแผลซ้ำซ้อน’ เรียกร้องรัฐปฏิรูปกลไกคุ้มครอง–ฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่คนทุกเพศเข้าถึงได้จริง”

ที่ห้องอเนกประสงค์ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถี และเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ ร่วมกันจัดงานเปิดตัวเทศกาลชีวิตที่ปลอดภัยสำหรับคนทุกเพศ เพื่อชวนให้สังคมไทยมองเห็นว่าความปลอดภัยคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและผลักดันให้เกิดระบบช่วยเหลือผู้เผชิญความรุนแรงที่เข้มแข็ง เท่าเทียม และเป็นธรรมสำหรับทุกคน
โดยช่วงเช้ามีกิจกรรม Solo Talk “เพื่อสังคมที่ปลอดภัยและเป็นธรรมสำหรับทุกคน” โดยมี ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจําคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโฮสต์ประจํารายการ Open Relationship ช่อง The Standard Podcast, ลินินา พุทธิธาร (อาบัน สามัญชน) ผู้ก่อตั้ง Safe Zone Thailand เพื่อยุติความรุนแรง, บุ๊คกิ้ง Miss Fabulous Thailand Northeastern 2024 นักแสดงและพิธีกรอิสระ, ตัวแทนจากเครือข่ายทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่ เพื่อความเท่าเทียม (TransEqual), และจิตติมา ภาณุเตชะ นายกสมาคมเพศวิถีศึกษา เข้าร่วม Solo Talk ในครั้งนี้
นักวิชาการชี้ “ความรุนแรง–โอกาสชีวิต–เพศสภาพ” คือโครงสร้างที่ทำให้สังคมไทยไม่ปลอดภัยและไม่เป็นธรรม

ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และโฮสต์รายการ Open Relationship ช่อง The Standard Podcast กล่าวในกิจกรรม Solo Talk ว่า ความรุนแรงไม่จำกัดเพียงการกระทำทางกาย แต่รวมถึงคำพูดหรือพฤติกรรมที่มีเจตนาทำร้าย ส่งผลต่อจิตใจและคุณค่าของผู้ถูกกระทำ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ถือเป็นความรุนแรงเต็มรูปแบบ
ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ตั้งข้อสังเกตว่า กรอบวัฒนธรรมและกฎเกณฑ์ทางสังคมหลายอย่างทำหน้าที่เสมือน “กรง” ทั้งจัดระเบียบโลกและจำกัดโอกาสของผู้คน โดยเฉพาะกรอบสองเพศสภาพและอุดมการณ์รักต่างเพศที่ตัดสินว่าความสัมพันธ์ที่ถูกต้องต้องเป็นระหว่างชาย-หญิงเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ผู้ที่อยู่นอกกรอบถูกตัดสินว่า “ผิดปกติ” แต่ยังจำกัดความฝันและการมองเห็นคุณค่าของตัวเอง
ท้ายที่สุด เธอเน้นว่าการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเป็นธรรม ต้องเริ่มจากการตั้งคำถามต่อระบบความหมายและกติกาที่ฝังรากลึก รวมถึงการมองย้อนตัวเอง ไม่ปล่อยให้ติดอยู่ในบทบาท “เหยื่อ” จนลืมตรวจสอบว่าตนเองอาจเคยรังแกผู้อื่นด้วยกรอบเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เมื่อสังคมยอมรับว่าโครงสร้างความรุนแรง ความเหลื่อมล้ำ และอคติทางเพศเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และมนุษย์สามารถร่วมกันเปลี่ยนมันได้
อาบัน สามัญชน ชี้ “พื้นที่ปลอดภัย” ในระบบสุขภาพจิตไทยไม่ปลอดภัยจริง เสนอรัฐปิดช่องโหว่วิชาชีพจิตวิทยา

ลินินา พุทธิธาร หรือ “อาบัน สามัญชน” ผู้ก่อตั้ง Safe Zone Thailand เปิดเผยปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบสุขภาพจิตไทย โดยชี้ว่า พื้นที่ที่ควรเป็นเขตปลอดภัย กลับกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงสำหรับผู้รับบริการ โดยเฉพาะผู้มีภาวะซึมเศร้าหรือเปราะบางทางจิตใจ
อาบันเล่าว่า หลายกรณีเริ่มจากการบำบัดปกติ แต่มีนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดบางรายก้าวล้ำ เช่น ชักชวนพบกันนอกเวลาบำบัด อ้าง “การแตะเนื้อต้องตัวเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา” หรือสร้างความพึ่งพิงกับผู้บำบัดเพียงคนเดียว จนนำไปสู่การละเมิดทั้งด้านการเงิน อารมณ์ และความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ผู้ถูกละเมิดมักไม่กล้าพูด เพราะสังคมไทยยังตีตราความเจ็บป่วยทางจิต จากประสบการณ์ส่วนตัว อาบันใช้เวลายาวนานกว่า 5 ปีเยียวยาตัวเอง และตัดสินใจผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างร่วมกับนักกฎหมาย นักสิทธิ และเครือข่ายเพื่อปิดช่องว่างทางกฎหมาย โดยยื่นข้อเรียกร้องสำคัญคือ นักจิตวิทยาและนักบำบัดต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. ใบประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 และกำหนดจริยธรรมวิชาชีพให้เข้มงวด ห้ามความสัมพันธ์เชิงชู้สาวตลอดจนจัดตั้งสภากลางสหวิชาชีพด้านสุขภาพจิต มีตัวแทนภาคประชาชนร่วมกำกับ

อาบันย้ำว่า การออกมาพูดครั้งนี้ไม่ใช่ดราม่า แต่เพื่อสร้างระบบที่ปลอดภัยจริง และสังคมควรเริ่มจากการฟังสัญญาณอันตรายเล็ก ๆ ที่อาจช่วยชีวิตใครบางคนไว้ได้
Miss Fabulous Thailand Northeastern 2024 ชี้คำนิยามเพศยังเต็มไปด้วยอคติ—สังคมไทยพร้อมหรือยังกับความหลากหลายทางเพศ

บุคกิ้ง Miss Fabulous Thailand Northeastern 2024 เล่าประสบการณ์การเติบโตในฐานะคนข้ามเพศ พร้อมตั้งคำถามต่อโครงสร้างคำนิยามเพศในสังคมไทยที่กดทับคนหลากหลายทางเพศ เธอชี้ว่าภาษาไทยยังขาดคำเรียกที่ไร้อคติ และเรียกร้องให้คำว่า “กะเทย” กลับมาเป็นคำเรียกทั่วไปที่ไม่ใช่คำด่า เธอท้าทายการผูกขาดเพศกับสรีระ อธิบายว่าในธรรมชาติมีสิ่งมีชีวิตหลายชนิดเปลี่ยนเพศตามบทบาทการสืบพันธุ์ ทำไมมนุษย์จึงยึดโยงเพศกับอวัยวะเพียงอย่างเดียว
บุคกิ้ง เล่าช่วงชีวิต 25 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ไม่มีคำว่า LGBTQ+ ในไทย การประกาศตัวเป็นกะเทยทำให้ต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อยืนอยู่บนมาตรฐานเดียวกับคนอื่น เธอย้ำถึงความรุนแรงต่อคนข้ามเพศที่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงไทย และเห็นว่าความปลอดภัยสำหรับทุกเพศยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่การฟังและออกแบบนโยบายที่เห็นมนุษย์เป็นมนุษย์ คือหนทางทำให้สังคมไทยปลอดภัยขึ้น
“เราอาจยังไม่รู้คำตอบว่ามันจะเป็นไปได้ไหม แต่ทุกครั้งที่ได้พูด ได้ฟัง และออกแบบสิ่งใหม่ร่วมกัน โลกจะใจดีกับทุกเพศขึ้นอีกนิด” บุคกิ้ง กล่าวทิ้งท้าย
ชีวิตที่ปลอดภัยของคนทุกเพศ คือสังคมที่เป็นธรรม นายกสมาคมเพศวิถีชี้โจทย์ใหญ่รัฐ–สังคมต้องลงทุนสร้างระบบสนับสนุนผู้เผชิญความรุนแรง
ด้านจิตติมา ภาณุเตชะ นายกสมาคมเพศวิถี กล่าวถึงความซับซ้อนของการสร้างความปลอดภัยทางเพศสภาพในสังคมไทย พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่าเหตุใดชีวิตที่ปลอดภัยจึงยังเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากสำหรับคนจำนวนมาก
จิตติมาระบุว่า แม้บางคนจะสามารถซื้อความปลอดภัยได้ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับคนอีกจำนวนมาก ความไม่ปลอดภัยกลายเป็นชะตากรรมที่ต้องอยู่กับความหวาดระแวง กังวล และไม่มีภาษาที่จะอธิบายความรู้สึกของตนเองได้ด้วยซ้ำ เธอสะท้อนว่า คนจำนวนมากยังไม่มีแม้กระทั่งพื้นที่จะยอมรับว่าตนเองรู้สึกไม่ปลอดภัย และสิ่งนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในกลุ่มที่มีอำนาจจำกัดในการตั้งคำถามถึงคุณภาพชีวิตของตนเอง
นายกสมาคมเพศวิถีชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้านความเป็นธรรมทางเพศเป็นเรื่องซับซ้อนมากและไม่อาจหวังพึ่งกฎหมายหรือนโยบายเพียงอย่างเดียวได้ สิ่งสำคัญที่สุดกลับอยู่ที่การเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่เป็นเจ้าของปัญหามีโอกาสได้พูด ได้สื่อสาร และได้รับการมองเห็น โดยไม่ผลักภาระความกล้าหาญไว้บนไหล่ของผู้ประสบปัญหาเพียงลำพัง
เธอย้ำว่า สังคมไทยยังขาดการลงทุนด้านระบบคุ้มครองและสนับสนุนผู้เผชิญความรุนแรง ทั้งระบบให้คำปรึกษาที่เข้าถึงได้ การดูแลในชุมชน และโครงสร้างที่ทำให้ผู้ประสบปัญหามั่นใจว่าตนจะได้รับการช่วยเหลือจริง ไม่ใช่เพียงแค่งานรณรงค์หรือกิจกรรมเชิงอีเวนท์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว จิตติมาเสนอว่าการสร้างระบบการทำงานที่เชื่อมโยงกันอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้ผู้ที่เข้าใจปัญหาสามารถทำงานได้อย่างมีพลังและต่อเนื่อง
แพท–วง Klear ชวนมองชีวิตปลอดภัยของผู้หญิงใน 3 มิติ

จากนั้น แพท–รัณนภันต์ ยั่งยืนพูนชัย นักร้องนำวง Klear ขึ้นเวทีแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองเรื่องความปลอดภัยของผู้เผชิญความรุนแรง โดยเน้น 3 มิติสำคัญ ได้แก่ 1) ความรู้ ผู้ที่อยู่กับความรุนแรงควรรู้เท่าทันปัญหาและสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในความสัมพันธ์, 2) ทางออก ต้องมีระบบช่วยเหลือชัดเจนให้ผู้ที่เผชิญความรุนแรงสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย, และ 3) พลัง (Power) โดยเฉพาะความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ช่วยให้ผู้เผชิญความรุนแรง โดยเฉพาะผู้หญิงสามารถตัดสินใจและก้าวออกจากความสัมพันธ์ที่มีความรุนแรงได้
แพทเล่าถึงช่วงชีวิตที่อยู่ในความสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ และการทะเลาะซ้ำซาก เธอจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมชีวิตถึงไม่สุข และตระหนักว่าความรักที่ดีควรทำให้รู้สึกสบาย ไม่ทำร้ายตัวเอง และไม่ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความคิดลบ
เธอเน้นว่า การช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาไม่ใช่เพียงบอกให้ “เลิกเถอะ” แต่ควรอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่ตัดสิน เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ปรึกษา และบอกว่ามีทางออกเมื่อพร้อมที่จะก้าวออกมา นอกจากนี้ แพทยังชี้ว่า การสร้างพลังในตัวเอง เช่น การทำงานหารายได้ แม้จะเล็กน้อย จะช่วยให้ผู้หญิงมีความมั่นคงและอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้น และเป็นแกนสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตเดินหน้าต่อได้

ในฐานะแม่ แพทสะท้อนว่าการมีลูกทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของความมั่นคงทางอารมณ์ที่ต้องส่งต่อให้ลูก เธอไม่อยากให้ลูกแบกรับความคาดหวังเกินตัว และเชื่อว่าการสอนลูกให้รักตัวเอง มีขอบเขต และกล้าทำตามฝัน เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ครอบครัวมอบให้ได้
แพททิ้งท้ายว่า หากสังคมไทยมีระบบรองรับผู้ประสบปัญหาได้มากขึ้น ผู้หญิงจำนวนมากจะมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างปลอดภัย เธอหวังเห็นหน่วยงานรัฐสนับสนุนที่พักพิงและความช่วยเหลือจริงจัง พร้อมส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในระบบเพื่อผลักดันให้ความช่วยเหลือเกิดขึ้นจริงในอนาคต

