วันที่ 26 พ.ย. 2568 ดร.เกษม ศุภสิทธิ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา ข้าราชการบำนาญศาลยุติธรรมได้ให้ความเห็น ประเด็นเรื่องโครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่ ว่าตามที่ได้เห็น สภาพปัญหาของบ้านเมืองในอดีตจวบจนถึงปัจจุบันที่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเหมือนนานาอารยประเทศอื่นได้ พรรคการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน เมื่อได้รับเลือกเข้ามาก็ไม่สามารถนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคการเมือง เมื่อเข้ามาบริหารบ้านเมือง ก็ไม่สามารถที่จะนำนโยบายมาสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้ และมีการผลัดเปลี่ยน ตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำประเทศอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดปัญหาความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกระทบกับการลงทุนและเศรษฐกิจภายในประเทศก่อให้เกิดความยากจนของประชาชนและปัญหาเช่นนี้ ยังคงดำรงอยู่มาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน และปัญหานี้ยังคงต้องส่งผลต่อไปในอนาคตอีกนับ 20- 30 ปี หากเกิดสภาพปัญหาเช่นนี้ต่อไปประเทศชาติของเรา ซึ่งต้องส่งมอบเป็นมรดกของลูกหลานจะคงอยู่ได้อย่างไร
ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ตนมีความเห็นว่า เกิดจากปัจจัยเรื่องของโครงสร้างอำนาจของประเทศไทย จึงขอเสนอความคิดในเรื่อง “โครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่ ” ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัว ดังนี้
1. พรรคการเมือง ควรทำหน้าที่ “เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ” เท่านั้น
1.1 พรรคการเมือง ทำหน้าที่ส่งผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จำนวน 500 คน (หรือตามจำนวนที่เหมาะสม ) ให้ประชาชนเลือกตั้งไปทำหน้าที่เฉพาะด้านนิติบัญญัติเพื่อเสนอออกกฏหมาย ใช้บังคับกับคนในสังคม เท่านั้น
1.2 พรรคการเมืองไม่มีสิทธิ์ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส)ของพรรคตนเองไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งนี้เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติ แยกออกจากฝ่ายบริหารอย่างแท้จริง
1.3 เมื่อพรรคการเมือง มี สส. ทำหน้าที่เพียงฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ปัญหาเรื่องของการซื้อขายเสียงเพื่อให้ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมลดน้อยลงไป เพราะสภาพปัญหาในปัจจุบันนั้นพรรคการเมืองต้องมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาให้มีจำนวนมากที่สุดเพื่อที่จะไปใช้มือของ สส. โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของพรรคตัวเองเพื่อเข้ามาบริหารประเทศ แต่เมื่อพรรคการเมืองมีหน้าที่หาเสียงให้ประชาชนเลือกตั้งเข้าไปเพื่อทำหน้าที่เฉพาะ“ฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น” ปัญหาเรื่องการซื้อเสียงจะน้อยลงไป
2. สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ทำหน้าที่ช่วยกลั่นกรองกฎหมาย ควรมาจากการแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎร(จำนวนคนตามที่เห็นสมควรเหมาะสม)โดยคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิในทุกๆด้าน และสมาชิกวุฒิสภาควรทำหน้าที่เป็นเฉพาะ “ผู้กลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น”
3. ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี(ฝ่ายบริหาร)ควรมาจากบุคคลที่เสนอตัว โดยคัดเลือกจากผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจากนั้นเสนอความเห็นชอบจาก สส. เท่านั้น เพราะ สส. มาจากประชาชนที่เลือกตั้งเป็นตัวแทนของตนเอง ความหมาย คือ ประชาชนเลือก สส. จากนั้น สส. ไปเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศ แต่ สว. ไม่มีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี เพราะ สว. มาจากการแต่งตั้ง จึงไม่ใช่เป็นตัวแทนของประชาชนอันแท้จริง เพราะไม่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
4. ศาลรัฐธรรมนูญ อาจมีการปรับเปลี่ยนเชิงอำนาจตามบริบทของโครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่
5. องค์กรอิสระได้แก่ ปปช. และ กกต. อาจมีการปรับเปลี่ยนเชิงอำนาจตามบริบทของโครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่
“โครงสร้างอำนาจของพรรคการเมืองในปัจจุบันทำหน้าที่ เป็นทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร นั้นก่อให้เกิดปัญหาในเชิงการบริหารชาติบ้านเมือง”
จากสภาพปัญหาดังกล่าวจึงมีความเห็นว่า “ควรแยกอำนาจของพรรคการเมืองให้ไปทำหน้าที่เฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น”
ส่วนอำนาจการบริหารนั้น ผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี (ต้องไม่ใช่ สส.)ได้รับการโหวตลงมติเห็นชอบจาก สส. ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนั้น ต้องได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เท่านั้น และมีความพร้อมในเรื่องของ “ภาวะผู้นำ” ในการที่จะนำอำนาจบริหารไปใช้บริหารชาติให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป
“เมื่อได้แยกอำนาจนิติบัญญัติ ออกจากอำนาจบริหารโดยเด็ดขาดแล้ว” ปัญหาเรื่องการซื้อเสียงเพื่อที่จะให้ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มากที่สุดเพื่อที่หัวหน้าพรรคการเมืองของแต่ละพรรคการเมืองก้าวสู่การเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีก็จะหมดสิ้นไป ปัญหาการซื้อเสียงในประเทศชาติก็จะลดน้อยลง
ข้อคิดเห็นทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนในเรื่องของ “โครงสร้างอำนาจของประเทศไทยแนวทางใหม่”
ด้วยผู้เขียนหวังว่าประเทศชาติของเรานั้นจะได้เจริญรุ่งเรือง มีเศรษฐกิจที่มั่งคั่งมีการเมืองที่มั่นคง และความสุขของคนในชาติกลับคืนมา“เพื่อส่งมอบให้กับลูกหลานของพวกเราต่อไปและมีความเจริญเหมือนนาอารยประเทศ

