ทำเนียบรัฐบาล, วันที่ 25 พฤศจิกายน – นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒน รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เห็นชอบให้นำ “ร่างกรอบท่าทีของประเทศไทย” ต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 20 (CoP20) เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อ ครม.
การประชุม CoP20 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน -5 ธันวาคม 2568 ณ เมืองซามาร์คันด์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน โดยมีอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร เป็นต้น

รองโฆษกรัฐบาลกล่าวว่า การกำหนดกรอบท่าทีของไทยต่อวาระการประชุม CoP20 มีเป้าหมายสำคัญ 3 ด้าน คือ ปกป้องทรัพยากรสัตว์ป่า–พืชป่าหายากของไทยและของโลก ลดและปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่า–ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย รักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการค้าอย่างยั่งยืน ไม่ให้กระทบเศรษฐกิจและชุมชนที่พึ่งพาทรัพยากร สำหรับกรอบท่าทีของไทยครอบคลุมทั้ง “เอกสารเชิงนโยบายและการบริหารอนุสัญญา (Working Documents)” และ “ข้อเสนอเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์ (Proposals)” ที่จะต้องลงมติในที่ประชุม
ประเด็นสำคัญที่ไทยใช้สิทธิในที่ประชุม ได้แก่ คุมเข้มเต่าบก–เต่าน้ำจืด และการลักลอบค้า ไทยจะ “สงวนท่าที” ต่อร่างมติและข้อตัดสินใจเรื่องเต่าบก–เต่าน้ำจืด แม้เห็นด้วยกับการปราบปรามการค้าผิดกฎหมาย แต่ต้องพิจารณาผลกระทบต่อกฎหมายภายใน และความพร้อมด้านการบังคับใช้ในประเทศด้วย, ขณะที่ประเด็นการจัดการสต็อกงาช้าง ไทยมีท่าที “สงวนท่าที” ต่อร่างมติที่อาจทำให้ต้องเพิ่มมาตรการควบคุมสต็อกอย่างเข้มงวดขึ้น เนื่องจากไทยยังมีการค้าภายในประเทศ และต้องป้องกันการนำงาช้างป่ามาสวมสิทธิ์เป็นงาช้างบ้าน ควบคู่กับการปราบปรามการลักลอบนำเข้า

นางสาวลลิดา กล่าวว่า ในประเด็นสัตว์ตระกูลเสือในกรงเลี้ยง ไทยจะ “สงวนท่าที” ต่อข้อเสนอให้ประเทศที่มีฟาร์มเสือจำนวนมากต้องดำเนินมาตรการลดจำนวนเสือที่ไม่มีคุณค่าทางอนุรักษ์ เนื่องจากต้องประเมินผลกระทบต่อมาตรการในประเทศและภาคเอกชนอย่างรอบคอบ หากสนับสนุนอาจทำให้ไทยถูกกำหนดภาระเพิ่มเติม ส่วน ข้อเสนอเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์ กรณีที่ข้อมูลชัดเจนครบถ้วน และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของอนุสัญญา เช่น การปรับปลากระเบนแมนต้า–ปลากระเบนปีศาจบางชนิดจากบัญชี 2 ไปบัญชี 1 ไทยมีท่าที “สนับสนุน” เนื่องจากเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศอยู่แล้ว
ข้อเสนอที่มีผลกระทบต่อการค้าและตรวจสอบแหล่งที่มายาก เช่น การบรรจุปลาไหลทุกชนิดในสกุล Anguilla ไว้ในบัญชี 2 ไทยมีท่าที “ไม่สนับสนุน” เนื่องจากอาจกระทบต่อการค้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และสร้างภาระด้านการตรวจพิสูจน์ชนิดพันธุ์ ส่วนข้อเสนอที่ไม่มีผลกระทบต่อไทย หรือไทยมีมาตรการคุ้มครองเข้มงวดกว่ามาตรฐาน CITES อยู่แล้ว เช่น การปรับสถานะเหยี่ยวเพเรกริน ไทย “สงวนท่าที” เพื่อลดความยุ่งยากในการอนุญาตนำเข้า–ส่งออกในอนาคต
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุม CoP20 ครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะแสดงบทบาทในเวทีนานาชาติด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า ควบคู่กับการพัฒนาระบบอนุญาตนำเข้า–ส่งออกให้เป็นไปตามพันธกรณีอนุสัญญา CITES อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับกฎหมายภายใน ทั้งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสกัดกั้นการลักลอบค้าสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าทุกช่องทาง พร้อมย้ำว่าทุกท่าทีของไทยใน CoP20 จะต้อง “ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของชาติ รักษาภาพลักษณ์ประเทศ และไม่ทิ้งภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องไว้ข้างหลัง”

