วันที่ 23 พ.ย. 2568 พรรคไทยภักดี นำโดย นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรค แถลงข่าวเปิดนโยบายเรือธงและทีมว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั้งระบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ยืนยัน มีความพร้อมมากกว่าการเลือกตั้งปี 2566 ขอโอกาสดูแลยกเครื่องประเทศ
นายแพทย์วรงค์ เปิดเผยว่า แม้การเลือกตั้งปี 2566 พรรคไม่มี สส.ในสภาฯ แต่ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นคือ ส่วนหนึ่งของการเติบโต ได้เรียนรู้ความผิดพลาด เพื่อพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่งให้กับพรรค ซึ่งระยะเวลากว่า 5 ปี พรรคไม่เคย ทิ้งประชาชนและอุดมการณ์ความถูกต้อง วันนี้พรรคมีความพร้อมมากกว่าการเลือกตั้งปี 2566 โดยระยะเวลา 2 ปีหลังการเลือกตั้งปี 2566 พรรคืนหยัดในอุดมการณ์และทำหน้าที่ฝ่ายค้านนอกสภาฯ จนทำให้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เดินเข้า สู่พรรคจำนวนมากเพื่อร่วมกันยกเครื่องเปลี่ยนแปลงประเทศ สร้างการเมืองสีขาว

โดยจุดแข็งของพรรคไทยภักดีคือ ทำจริง สู้จริง ไม่ใช่แค่สร้างกระแสฉาบฉวย การปราบโกงคนโกงต้องถูกกระบวนการยุติธรรมลงโทษ นโยบายเรือธงของพรรค คือ ยกเครื่องปราบโกง นักการเมืองโกงความเสียหายตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไปประหารชีวิตสถานเดียวและห้ามขอพระราชทานอภัยโทษ ยกเครื่องตำรวจหยุดวงจรส่วย ทุนเทา โอนตำรวจไปสังกัดจังหวัด ยกเครื่องความมั่นคง ยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 เพื่อปกป้องอธิปไตยชาติ ยกเครื่องการเมือง ตัดสวัสดิการ สส.-สว. ยกเครื่องเศรษฐกิจ รื้อโครงสร้างราคาข้าวทั้งระบบประกันราคาข้าวเปลือกเจ้าต้นละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 15,000 บาท ยกเครื่องแรงงาน ดูแลแรงงานนอกระบบ คุ้มครองสิทธิพื้นฐานกลุ่มชาติพันธุ์ ยกเครื่องกองสลากฯ เรียกคืนโควตาสลากฯ จากนักการเมืองนายทุน จัดสรรให้คนพิการที่ขายสลากฯจริง ยกเครื่องบอร์ค สปสช. เพิ่มสัดส่วนให้หมอหรือคนที่ทำงานจริง ยกเครื่องพลังงาน ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าสะอาด ใช้ราคาเป็นเงื่อนไขแข่งขันเพื่อนำไปสู่ไฟฟ้าเสรี
โดยผู้สมัครที่เปิดตัวในวันนี้ พรรคเตรียมส่งผู้สมัคร สส.ระบบแบ่งเขต ในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ กทม.และภาคใต้ รวมถึงผู้สมัครบัญชีรายชื่อ รวมประมาณ 150-200 คน โดยจะใช้กลยุทธ์หาเสียงทำความเข้าใจและนำเสนอความจริงแก่ประชาชนในทุกช่องทางโดยทางพรรคมีความหลากหลายของผู้คน มีลักษณะของพรรคมวลชน มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์มากประสบการณ์ ความรู้ไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้พิพากษา นายตำรวจ เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบาย ยกเครื่องกระบวนการยุติธรรม ปราบโกง ปราบทุนเทา สร้างนิติรัฐ ให้ทุกคนเสมอภาคภายใต้กฎหมาย มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จร่วมยกเครื่องนโยบายเศรษฐกิจที่สร้างความเข้มแข็งจากเศรษฐกิจฐานราก สร้างดุลกับทุนผูกขาด มีเกษตรกรรุ่นใหม่ ร่วมยกเครื่องโครงสร้างราคาข้าวที่เป็นธรรม มีผู้นำแรงงานร่วมยกเครื่องแรงงาน มีคนหนุ่มสาวที่ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงร่วมยกเครื่องการเมืองเพื่อสร้างอำนาจรัฐของคนทั้งประเทศ มีพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ คนพิการ มีทีมงานหลังบ้านจากทั่วประเทศที่พร้อมเดินไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ทำอุดมการณ์พรรคให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งพรรคเรียนรู้ เติบโตจากความพ่ายแพ้
จึงคาดหวังว่าในการเลือกตั้งปี 2569 ประชาชนจะมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเรียนรู้จากปัจจุบันและอดีต ลงโทษนักการเมืองที่สร้างความวิบัติ อัปลักษณ์ให้ประเทศ ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างการเมืองสีขาว สร้างประเทศที่แข็งแรงกว่าที่เคยเป็นมา
นอกจากนี้ นายแพทย์วรงค์ ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับสื่อมวลชนว่า การที่เราเปิดตัวในวันนี้ก็ถือว่าเราพร้อมในการเลือกตั้งที่จะถึง ซึ่งหากมีการยุบสภาในวันพรุ่งนี้เราก็พร้อมซึ่งเราก็มีเป้าหมายของเราว่าเราจะโฟกัสไปในพื้นที่ไหนย้ำว่าการที่เราเปิดตัวผู้สมัคร สส.ในวันนี้เพื่อที่จะแสดงความพร้อมว่าเราพร้อมอย่างมาก ถามว่า 400 คนเฉพาะจุดหรือเฉพาะเขตนั้น โดยเราต้องเป้าไว้ประมาณ 150 ถึง 200 คนและไม่ส่งผู้สมัครลงทุกเขต เพราะเรามีความรู้สึกว่าทุกข์เท่านั้นมันระบาดหนักพื้นที่ไหนที่ทุนเทาระบาดหนักเราก็ไม่ส่งซึ่งเราจะส่งในพื้นที่ที่เราคิดว่าเราจะสามารถที่จะสู้กับทุนเทาได้ และภายในกรุงเทพนั้นจะส่งผู้สมัครครบทุกเขต พื้นที่เรามั่นใจ คือพื้นที่ภาคใต้แล้วก็กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของเรา แต่ยืนยันว่าส่งครบทุกภาคทั่วประเทศ
ส่วนจุดแข็งที่จะนำไปขายให้กับประชาชนนั้นก็คือการสีขาวของเราที่ชัดเจนและประกาศยกเครื่องประเทศไทยด้วยการเมืองสีขาวนโยบายการทุจริตและนโยบายการยกเครื่องตำรวจและนโยบายการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 หรือแม้แต่นโยบายเรื่องข้าวและยกเครื่องการเมือง ที่เป็นหรือธงหลัก 5 นโยบาย ที่เรานำเสนอ จะยอมรับว่าตอนนี้สีเทานั้นมัน ระบาดอย่างหนักโดยต้นคอสื่อสารไปยังประชาชนให้ครอบคลุมว่าคำว่า “ สีเทา” อย่าคิดว่าเป็นในเรื่องของเงินพนันออนไลน์หรือว่าเงินจากสแกมเมอร์ แต่ว่าเงินผูกขาดไม่ว่าจะเป็นเงินต่างชาติที่สนับสนุน เอ็นจีโอที่มาสนับสนุนพรรคการเมือง ตนถือว่าเงินพวกนี้เป็นสีเทาทั้งหมด มันระบาดไปเกือบจะทุกพรรคการเมือง ดังนั้น เราต้องใช้การเมืองสีขาวที่เข้าต่อสู้ให้ประชาชนตัดสินใจ
ครั้งที่แล้วพรรคไม่ได้ สส.เลยสักคนจะมีการปรับจุดอ่อนตรงไหนบ้างนั้น ซึ่งทางพรรคนั้นมีการประกาศพร้อมรบขนาดนี้เราก็ต้องมั่นใจจากการที่เราเรียนรู้อดีตและตนก็เชื่อว่าประชาชนน่าจะได้เรียนรู้อดีตว่าประชาชนเลือกคู่แท้เข้าไปแล้ว แล้วทำไมพบว่ามีสีเทาเต็มบ้านเต็มเมืองไม่ใช่แต่แค่เฉพาะนักการเมืองในสภาฯ เท่านั้นแต่ว่าวงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวงการตำรวจ หรือแม้กระทั่งวงการของราชทัณฑ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็เชื่อว่ากระจายไปหมดทุกวงการ และเชื่อว่าการเลือกตั้งในรอบนี้อยากให้ประชาชนนั้นได้ประเมินว่าถ้าเลือกตามกระแสก็จะได้นักการเมืองแบบเดิม แต่ถ้าต้องการการเปลี่ยนแปลงก็ควรที่จะเลือกการเมืองสีขาว
ถามว่ามั่นใจในเรื่องของนโยบายของพรรคว่าจะสู้แชมป์เก่าได้ หรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าประชาชนมีสติและคิดวิเคราะห์ พรรคของตนสามารถที่สู้ได้ทุกพรรค เพราะถ้าวันนึงประชาชนรู้สึกว่าถ้าประชาชนเลือกพวกนี้ไปแล้ว มันก็เหมือนเดิมและตนอยากจะให้สื่อมวลชนนั้นได้บันทึกถ้อยคำของตนว่า
“ถ้าไม่เลือกพวกเราเข้าไปเราก็จะเห็นการเมืองเหมือนเดิมทุกอย่าง” เพียงแต่ในช่วงการหาเสียงจะมีคนเข้ามาปั่นกระแสเป็นกระบวนการปั่นกระแส ให้ประชาชนในช่วงเลือกตั้ง
แต่เราไทยภักดีถูกสร้างมาบนพื้นฐานของความเป็นจริงความยุติธรรมเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของดังนั้นขอย้ำว่าถ้าประชาชนเริ่มเดิมทุกอย่างสภาพสังคมก็จะเหมือนเดิม
มองไทม์ไลน์เรื่องของการยุบสภาของนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ว่าอย่างไรนั้น ตนคิดว่านายอนุทินน่าจะยุบสภาในเร็ววันนี้ ดูจากการเตรียมความพร้อมต่าง ๆ เหมือนว่าจะฉวยจังหวะที่ฝ่ายค้านจะยื่นซักฟอก ฉวยโอกาสที่จะยุบสภา ซึ่งอาจจะพร้อมกว่าพรรคคู่แข่ง ดีไม่ดีเปิดสภาฯ มาวันที่ 12 ธันวาคม ก็อาจจะยุบสภาเลยก็ได้

