“สส.ตี๋” จี้รัฐเอาจริงแก้ปัญหาแม่น้ำเป็นพิษ แนะประกาศหยุดบริโภคปลาแม่น้ำสาละวินหลังตรวจพบสารหนู-ปรอท เกินมาตรฐาน ชี้ต้องเร่งเจรจาปท.ห่วงโซ่แร่จัดการปัญหาร่วมกัน

412

แม่ฮ่องสอน, วันที่ 21 พ.ย. “สส.ตี๋” ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่พรรคประชาชน และรองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเกาะติดปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำจากการทำเหมืองแร่ในเมียนมา กล่าวถึงปัญหา น้ำในแม่น้ำสาละวิน ช่วงที่ไหลผ่าน จ.แม่ฮ่องสอน เป็นพิษ โดยตรวจพบสารหนู+ปรอท เกินมาตรฐานกว่าสองเท่าทุกจุดตรวจ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับว่าปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำหลายสายที่ต่อเนื่องมาจากประเทศเมียนมามีความรุนแรง และต้องหันมาให้ความสนใจแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง พร้อมระบุว่ารัฐบาลควรประกาศหยุดบริโภคปลาน้ำสาละวินระหว่างรอผลตรวจปลาอย่างละเอียดเพราะกังวลถึงผลกระทบจากสารปรอทที่อยู่ในเนื้อปลา

ภัทรพงษ์ กล่าวว่า จากประเด็นข่าวการตรวจสารโลหะหนักโดยเฉพาะสารหนูในน้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน เกินกว่ามาตรฐานถึงห้าเท่า ช่วงเดือนที่ผ่าน โดย ผศ.ว่าน วิริยา ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ทำให้ประเด็นมลพิษทางน้ำข้ามแดนในพื้นที่น้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย และมีข้อถกเถียงมากขึ้น จึงนำมาสู่การตรวจยืนยันครั้งที่สอง โดยผศ.ว่าน วิริยา ที่ได้ตรวจจากตัวอย่างน้ำสาละวินที่กระจายจุดตรวจมากยิ่งขึ้น

การตรวจน้ำสาละวินครั้งนี้ แบ่งจุดตรวจออกเป็น 7 จุด กระจายตลอดลำน้ำสาละวินฝั่งแนวเขตประเทศไทย พบสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐานทุกจุด ดังนี้:

จุด 1 บ้านจอท่า ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง พบสารหนู 0.0195 mg/L และปรอท 0.0040 mg/L

จุด 2 สบแงะ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง พบสารหนู 0.0201 mg/L และปรอท 0.0037 mg/L

จุด 3 บ้านแม่สะเกิบ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง พบสารหนู 0.0216 mg/L และปรอท 0.0035 mg/L

จุด 4 บ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง พบสารหนู 0.0263 mg/L และปรอท 0.0034 mg/L

จุด 5 รอยต่อระหว่างอ.สบเมย-อ.แม่สะเรียง พบสารหนู 0.0287 mg/L และปรอท 0.0043 mg/L

จุด 6 ท่าเรือหมู่บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย พบสารหนู 0.0263 mg/L และปรอท 0.0026 mg/L

จุด 7 หมู่บ้านแม่สามแลบ ม.4 อ.สบเมย พบสารหนู 0.0210 mg/L และปรอท 0.0029 mg/L

โดยมาตรฐานค่าสารหนู 0.01 mg/L และปรอท 0.002 mg/L

จากผลการตรวจครั้งนี้ แม้ว่าน้ำสาละวินจะผ่านแนวเขตฝั่งไทยเพียงแค่ 127 กม. แต่มีประชาชนคนไทยกว่า 800 ครัวเรือนที่ใช้น้ำสาละวินในการอุปโภคบริโภค และที่สำคัญกว่า 330 ครัวเรือน บริโภคปลา และส่งปลาขายต่อไปยังตลาดในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย ซึ่งในส่วนนี้น่ากังวลมาก เพราะในกรณีสารหนูในน้ำ ตัวปลาสามารถแปรสภาพสารหนูได้ไม่น่ากลัว แต่กลับกันเลยคือ ปรอท ที่แม้พบในน้ำไม่เยอะ ดั่งกรณีน้ำกกน้ำสาย แต่พอมาอยู่ในตัวปลา ก็จะทำปฏิกิริยาทำให้ค่าปรอทในเนื้อปลาเพิ่มขึ้นกว่าที่พบในน้ำ เพราะฉะนั้น สิ่งที่รัฐต้องเร่งตอนนี้โดยด่วน คือ ประกาศหยุดการบริโภคและหาปลาบริเวณน้ำสาละวิน เพื่อรอผลตรวจปลาออกมาโดยด่วนที่สุด

ปัญหามลพิษทางน้ำข้ามแดนหนัก และขยายความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่รัฐบาลยังคงไม่ทำงานให้สอดคล้องกับความรุนแรงของปัญหา จากปัญหาน้ำกก-สาย-โขงตอนเหนือ ไปยังโขงภาคอีสาน ตอนนี้ชัดเจนอย่างเป็นทางการที่น้ำสาละวินอีก

“ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาล โดยนายอนุทินและนายสุชาติ ยกระดับการจัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง เร่งดำเนินการทั้งสองทาง คือเปิดเจรจาพหุภาคีกับประเทศที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกกสายรวกโขงและสาละวิน รวมถึงห่วงโซ่ของแร่ นั่นคือ ไทยจีนเมียนมาและลาว วางกรอบ action plan ของแต่ละประเทศให้ชัดเจน และจัดสรรงบกลางให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการปัญหานี้ภายในประเทศ ทั้งหน่วยงานตรวจน้ำ-ปลา ตรวจเกษตร ตรวจดิน อย่าปล่อยให้คนหน้างานทำงานลำพังแบบปัจจุบัน และหน่วยงานที่มีหน้าที่หาแหล่งน้ำใหม่ทดแทนน้ำเดิม รวมถึงการเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องเสียรายได้จากมลพิษข้ามแดนครั้งนี้ โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยว ปัญหานี้ คนไทยไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลย แต่คนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆคือคนไทย ถ้ารัฐบาลใส่ใจกับคุณภาพชีวิตของคนไทยจริงๆ ปัญหานี้ไม่มีทางถูกละเลยมาขนาดนี้” สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชนระบุ