รายงานพิเศษ : เตรียมรับมือเข้าสู่ฤดูฝุ่น PM2.5ระดมสมองปัญหา ภาคเกษตรคือผู้ร้ายจริงหรือ?

653

เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีอีกงานสัมมนาที่น่าสนใจ ที่จัดขึ้น ณ อาคาร UNISERV มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย ร่วมกับนักวิชาการ และคณะทำงานด้านฝุ่น PM2.5 ในการร่วมระดมสมอง หาคำตอบหัวข้อ “ฝุ่น PM2.5 ภาคเกษตรสร้างปัญหาจริงหรือ? พร้อมอัปเดตข้อมูลปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM2.5 ถือเป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็นภัยที่คุกคามสุขภาพของประชาชน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง หลายพื้นที่ของประเทศต้องเผชิญกับระดับค่าฝุ่นที่สูงเกินมาตรฐาน และ “ภาคเกษตร” ก็มักตกเป็นผู้ร้ายที่ถูกระบุอย่างชัดเจน สาเหตุหลักของปัญหา โดยเฉพาะกิจกรรมการเผาในที่โล่ง (Open Burning)

ดร.สมพร จันทระ ประธานคณะทำงานด้านวิชาการเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยถึงสาเหตุของปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในเขตภาคเหนือช่วงฤดูแล้ง ว่าเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. สภาพภูมิประเทศ ที่เป็นแอ่งและมีภูเขาล้อมรอบ 2. อุตุนิยมวิทยา ที่มีปริมาณฝนน้อย ความชื้นต่ำ อากาศร้อนแล้ง มีการระบายของอากาศไม่ดี และ 3.แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ เช่น การเผาในที่โล่ง การจราจร การเผาไหม้จากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งในเขตภาคเหนือโดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ ช่วงฤดูแล้งประมาณเดือน ก.พ.-เม.ย. ของทุกปี จะมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานอยู่เสมอ โดยแหล่งกำเนิดหลักจะมาจากการเผาชีวมวลสูงถึง 51% ในขณะที่ค่าฝุ่นจากการจราจร มีเพียง 23%

ส่วนในช่วงนอกฤดู หรือช่วงฝน ค่าฝุ่นจะมาจากการจราจรสูงถึง 76% ในขณะที่ค่าฝุ่นจากการเผาชีวมวลมีเพียง 7% เท่านั้น ซึ่งจากการทดลองทำโมเดลเพื่อดูว่าหากสามารถลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ คุณภาพอากาศของ จ.เชียงใหม่จะเป็นอย่างไร พบว่า กรณีมลพิษข้ามแดน หากสามารถลดการเผาไหม้ในพื้นที่โล่งที่อยู่นอกเขตเชียงใหม่ลงได้ 50% จะสามารถลดค่าฝุ่น PM2.5 ในเชียงใหม่ได้ถึง 30-40% ในขณะที่การเผาในพื้นที่ (ไฟป่า) นั้น หากลดลงได้ 50% จะสามารถลดค่าฝุ่น PM2.5 ในเชียงใหม่ได้ 17-30% ส่วนการเผาในพื้นที่เกษตรนั้น หากสามารถลดการเผานอกเขตเชียงใหม่ลงได้ 50% จะสามารถลดค่า PM2.5 ในเชียงใหม่ลงได้ 12-21% ในขณะที่การจราจรนั้น พบว่าหากสามารถลดมลภาวะจากการจราจรในเชียงใหม่ลงได้ 50% จะสามารถลดค่า PM2.5 ในเชียงใหม่ได้ 7-12 %

ดร.สุดเขต สกุลทอง จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวถึงแนวทางลดการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยการนำมาใช้ประโยชน์ และเพิ่มมูลค่า เปลี่ยนขยะให้เป็นชีวมวลอัดเม็ดเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน ว่าเศษวัสดุเหลือใช้ที่พบมากที่สุดจะเป็นข้าวโพด ซึ่งทำให้มีการเผามากที่สุดด้วย เพราะพื้นที่ปลูกส่วนใหญ่อยู่บนภูเขาทำให้ยากที่จะกำจัดด้วยวิธีอื่น ซึ่งการใช้เครื่องทำชีวมวลอัดแท่งแบบเคลื่อนที่ และเครื่องทำไบโอซาร์แบบเคลื่อนที่ ที่มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยขนาดเล็กเป็นระบบไฟฟ้าผ่านแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน 2 ชั่วโมง และใช้ระบบโซล่าร์เซลล์ได้นาน 8-9 ชั่วโมง จะสามารถใช้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรได้ทุกชนิด เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด แกลบ ขี้เลื่อย ชานอ้อย กะลามะพร้าว กิ่งไม้ต่างๆ โดยเครื่องจะทำการสับเป็นชิ้นเล็ก สับหยาบ บดหยาบ บดละเอียด อัดเป็นเม็ดหรือแท่ง ซึ่งเชื้อเพลิงชีวมวลนี้ สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในครัวเรือน ร้านอาหารขนาดเล็ก โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กและใหญ่ อย่างโรงอบลำไย โรงงานทอผ้า ย้อมผ้า สิ่งทอ น้ำมันพืช เป็นต้น

นายเดโช ไชยทัพ ผู้อํานวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน กล่าวถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในส่วนของภาคเกษตรและป่าว่า จะต้องแก้ปัญหาร่วมกัน เพราะพื้นที่เกษตรส่วนใหญ่ยังมีสถานะเป็นพื้นที่ป่าอยู่ โดยในเขต จ.เชียงใหม่และลำพูนนั้น มีทั้งหมู่บ้านที่เป็นพื้นที่ใกล้ชิดป่า อยู่ในเขตป่าสงวน และอยู่ในเขตอุทยาน รวมพื้นที่ประมาณ 1.8 ล้านไร่ การจะส่งเสริมให้ชาวบ้านปรับเปลี่ยนพืชที่ปลูกไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันชาวบ้านมีการตื่นรู้และให้ความสำคัญในการเข้ามาดูแลรักษาพื้นที่ป่ามากขึ้น แต่ยังติดปัญหาด้านกฎหมายในการเข้าไปจัดการป่าอยู่ การสนับสนุนให้ป่าชุมชนสามารถทำประโยชน์ในการสร้างรายได้ เช่น เป็นแหล่งท่องเที่ยว การขายคาร์บอนเดรคิต หรือการนำพืชที่สามารถสร้างรายได้ เช่น กาแฟ มาปลูกใต้ต้นไม้ในป่า เป็นต้น จะทำให้ป่าชุมชนกลายเป็นป่าที่สังคมต้องช่วยกันดูแล

นางลาวัณย์ อุ่นจัน หัวหน้ากลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตร จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงนโยบายและแนวทางในการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จากภาคเกษตรว่า ที่ผ่านมาภาครัฐมีการทำงานร่วมกันหลายฝ่าย โดยสำนักงานเกษตร จ.เชียงใหม่ และสำนักงานเกษตรอำเภอทั้ง 25 อำเภอของ จ.เชียงใหม่ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการอย่างต่อเนื่อง มีการจัดทำแผนปฏิบัติการลดการเผาในพื้นที่ และบังคับใช้มาตรการการหยุดเผาอย่างต่อเนื่องและเด็ดขาด โดยมีอาสาสมัครเกษตรทุกหมู่บ้าน จำนวน 2,074 หมู่บ้าน ทำหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน สร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ลดการเผา และแก้ปัญหาการเผาในพื้นที่ ซึ่งล่าสุดมีมาตรการหยุดการเผาที่จะบังคับใช้ในช่วง 1 ก.พ.-31 มี.ค. 2569 ก็จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้

นางสาววรนุช จันทร์สุริย์ นักภูมิสารสนเทศชำนาญการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)–GISTDA กล่าวว่า ต้นตอของมลพิษอาจจะไม่ใช่จำนวน Hotspot หรือ “จุดความร้อน” ที่เราเห็น เนื่องจากแหล่งกำเนิดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจจับได้นั้น อาจจะมาจากสิ่งอื่นที่ไม่ได้เกิดจากการเผาไหม้ได้ เช่น หลังคาสังกะสี ที่สะสมความร้อนจนมีอุณหภูมิสูงจัดในตอนกลางวัน ลานหินกว้างๆ ในช่วงฤดูร้อนที่อมความร้อนไว้มหาศาล โรงโม่ปูนที่มีการปล่อยไอร้อนออกมาจากกระบวนการผลิต หรือแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ จากโซลาร์ฟาร์ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าฝุ่นละอองไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในอากาศที่เราหายใจ แต่ยังลอยตัวซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ ในชั้นบรรยากาศด้วย ซึ่งประเทศไทยมีดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของตัวเองที่มีความสามารถสูงมาก คือดาวเทียม THEOS-2 (ธีออส 2) ที่สามารถถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูงถึง 50 เซนติเมตร ซึ่งภาพถ่ายจากดาวเทียมที่แสดงจุดความร้อนกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งภูมิภาค ทำให้เห็นความจริงที่ชัดเจนว่าประเทศไทยไม่ใช่ผู้ก่อปัญหาฝุ่น PM2.5 เพียงฝ่ายเดียว แต่ประเทศเพื่อนบ้านต่างก็มีกิจกรรมที่ก่อให้เกิดจุดความร้อนจำนวนมากเช่นกัน มุมมองจากอวกาศนี้จึงสะท้อนความจริงที่ว่าเราทุกคนต่างมีส่วนร่วมในปัญหานี้ และจะต้องแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ศาสตราจารย์ปฏิบัติ ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ และหัวหน้าข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงข้อมูลที่ได้จาก “Dust Boy” เครือข่ายเซ็นเซอร์วัดฝุ่นที่พัฒนาโดยคนไทยว่า พื้นที่ที่มีจุดความร้อน (Hotspot) หนาแน่นที่สุด อาจจะไม่ใช่พื้นที่ที่อันตรายที่สุด เช่น การเผาในพื้นที่ อ.ฮอด หรือ อ.อมก๋อย ที่ตั้งอยู่บนที่สูง ทำให้ลมสามารถพัดพาฝุ่นพิษขนาดเล็กลอยไปตกค้างที่อื่นได้ ซึ่งข้อมูลจากเซ็นเซอร์ก็แสดงให้เห็นว่าอำเภอเมืองเชียงใหม่ ที่แทบไม่มีจุดความร้อนเลย แต่ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นแอ่งกระทะ ประกอบกับตึกสูงที่ขวางกั้นทิศทางลม ทำให้อากาศนิ่ง ได้กลายเป็นกับดักฝุ่นพิษที่สมบูรณ์แบบ นั่นหมายความว่ามาตรการป้องกัน เช่น ห้องปลอดฝุ่นหรือเครื่องฟอกอากาศ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดไม่ใช่ในพื้นที่ต้นเพลิง แต่เป็นพื้นที่ปลายทางที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นต่างหาก

“การรายงานคุณภาพอากาศของหน่วยงานทางการมักใช้ “ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงย้อนหลัง” ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เข้าใจผิด แต่ยังเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ลองจินตนาการว่าหากค่าฝุ่นพุ่งสูงถึงขีดอันตรายในช่วงเช้า แต่ลดต่ำลงในช่วงเย็น เมื่อนำมาเฉลี่ยกัน ตัวเลขที่รายงานออกมาอาจดูเหมือน “ปลอดภัย” ทั้งที่ในความเป็นจริง เราได้หายใจเอามลพิษปริมาณมหาศาลเข้าไปทำลายร่างกายแล้ว คำถามสำคัญ คือ “มีใครหายใจเป็นค่าเฉลี่ยไหมครับ?” คำตอบคือไม่มี และนี่คือภารกิจหลักของ Dust Boy ที่ต้องการให้ข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ (Real-time) เพื่อให้ประชาชนรู้ว่าอากาศที่กำลังหายใจเข้าไป ณ วินาทีนั้นเป็นอย่างไร” ศาสตราจารย์ปฏิบัติ ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล กล่าว

รองศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ ชัยพิบูลย์ คณบดีคณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ หัวหน้าโครงการธรรมชาติปลอดภัยแม่ปาน-สันเกี๋ยงโมเดล กล่าวถึง ตัวอย่างของชุมชน “แม่ปาน-สันเกี๋ยง” ซึ่งเป็นต้นแบบความสำเร็จของการเปลี่ยนพื้นที่วิกฤตหมอกควันให้อย่างยั่งยืนว่า ชุมชนต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง มหาวิทยาลัยและภาคเอกชนเป็นเพียงผู้สนับสนุน ซึ่งหัวใจที่ทำให้โครงการนี้แตกต่างและยั่งยืน คือการใช้หลักคิด “ระเบิดจากข้างใน” ตามศาสตร์ของพระราชา เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนในพื้นที่เป็นเจ้าของปัญหาและทางออกอย่างแท้จริง พลังในการขับเคลื่อนก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งต้นตอของปัญหาทั้งหมดของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นความยากจน การปลูกพืชเชิงเดี่ยว หรือไฟป่า ล้วนมีรากมาจากปัญหาเดียวที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “การขาดแคลนน้ำ” เมื่อเข้ามาแก้ไขตรงจุดนี้ได้ ทุกอย่างก็เปลี่ยน ทำให้เกิดการต่อยอดที่หลากหลาย เช่น “ทุเรียน จันท์แจ่ม” ซึ่งนำทุเรียนเมืองจันท์มาปลูกแบบอินทรีย์ที่แม่แจ่ม หรือการปลูกลำไยคุณภาพสูง ที่แม้ล่าสุดราคาตลาดทั่วประเทศจะตกต่ำ แต่ที่นี่มีพ่อค้าจากโรงงานแปรรูปขึ้นมารับซื้อถึงสวนทั้งหมด หรือร้านกาแฟ “แม่แจ่มแอ๊ะ” ที่ได้ชื่อมาจากคำอุทานแสดงความประหลาดใจของคนในพื้นที่ (“แอ๊ะ”) ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของระบบธุรกิจและแปรรูปผลผลิตที่ครบวงจรซึ่งสร้างขึ้นจากมือของชุมชนเอง

ด้าน ดร.สุนทร คุณชัยมัง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงความจริงที่สังคมต้องยอมรับ หากต้องการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้สัมฤทธิ์ผล คือ ทุกคนต้องลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไข และไม่รอแต่เพียงเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแก้ปัญหา ซึ่งปัญหานี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยคนเพียงคนเดียว หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง (แก้เชิงเดี่ยวไม่ได้) เพราะมันคือ “ผลพวงของทุกๆ คน” ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของทุกคนในสังคมรวมกัน การแก้ไขจึงต้องเปลี่ยนจากการตั้งรับ ซึ่งเป้นการเดินตามหลังปัญหา ไปสู่การเป็นฝ่ายรุก โดยการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเฝ้าระวัง และหลีกเลี่ยงฝุ่นเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว โดยแนวทางเชิงรุกคือการ “เดินล่วงหน้า” ด้วยการลงมือ “ถอดปัจจัย” ที่เป็นต้นตอของปัญหาออกไปก่อนที่จะเกิดปัญหา เช่น การออกแบบเมืองใหม่เพื่อกระจายความหนาแน่น เป็นต้น ทั้งนี้ ทางออกที่ยั่งยืนอาจจะไม่ได้มาจากเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่มาจาก “การเรียนรู้ทางสังคม” (Social Learning) โดยสร้างความรู้ใหม่ แล้วหันมารวมกลุ่มลงมือทำในสิ่งที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหนก็ตาม