ตำรวจ กก.สส.บก.น.3 รวบหมอเถื่อน-ผู้ช่วย เปิดคลีนิกเถื่อนในมีนบุรี ให้บริการรักษาคนไข้นานกว่า 10 ปี พร้อมยึดของกลางยาและเครื่องมือแพทย์จำนวนมาก พบออกใบรับรองแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

พ.ต.อ.กฤษ ก้อมน้อย ผกก.สส.บก.น.3 สั่งการให้ พ.ต.ท.จำนงค์ ประสพสุขมั่งดี รอง ผกก.สส.บก.น.3 ร.ต.อ.นพพนธ์ แก้ววรรณา ร.ต.อ.ณฐภัทร์ จุ่งพิวัฒน์ รอง สว.กก.สส.บก.น.3 ส.ต.ต.ปัณรพัศศ์ ก้อมน้อย ผบ.หมู่ สืบ 3 พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนนครบาล 3 ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายบุญวิวัฒน์ บุญเรืองลือ อายุ 50 ปี (ทำหน้าที่ ตรวจร่างกาย ทำควาทเห็นแพทย์ เขียนใบสั่งยา) และนายณัฐวุฒิ บุญเรืองบือ อายุ 30 ปี (ทำหน้าที่ รับคนไข้ ทำทะเบียนประวัติ ฉีดยา จัดยา )
สืบเนื่องจาก กก.สส.บก.น.3 ได้รับการร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า หมอพงษ์ คลินิกเวชกรรม ตั้งอยู่เลขที่ 13 ซอยรามคำแหง 166 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กทม. ได้ลักลอบเปิดการรักษาคนไข้ และออกใบรับรองแพทย์ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.น.3 ได้ให้สายลับเข้าไปแฝงตัวเข้ามาทำการรักษา อาการไข้ เจ็บคอ พร้อมขอใบรับรองแพทย์เพื่อขอลางาน ที่สหคลินิกเวชกรรม โดยมีชายที่อ้างตัวว่าเป็นแพทย์ ชื่อหมอพงษ์ จึงได้สอบถามอาการจากสายลับ หลังจากนั้นได้บอกกับสายลับว่าตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่ามีอาการสายลับมีอาการท้องเสีย และได้ออกใบรับรองแพทย์ เขียนชื่อ นพ.อำนวย ศรีวัฒนาวานิช พร้อมลงความเห็นแพทย์ รับรองว่าสมควรให้พักรักษา1 วัน และประทับตรา เคหะราม คลินิกเวชกรรม คิดค่าบริการในการรักษา ในราคา 300 บาท

ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.น.3 ได้ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบคลีนิกดังกล่าว พบนายณัฐวุฒิ อยู่บริเวณหน้าเคาเตอร์หน้าของคลีนิก กำลังทำเอกสาร เจ้าหน้าชุดสืบสวนจึงได้สอบถามหาหมอ ที่รักษาว่าอยุ่ไหน นายณัฐวุฒิ จึงได้พาเจ้าหน้าที่ขึ้นไปบริเวณชั้น 2 ของคลีนิกดังกล่าว ก่อนพบ นายบุญวิวัฒน์ หรือหมอพงษ์ นอนอยุ่บนเตียงภายในห้อง และได้นำตัวมาสอบสวนบริเวณชั้นล่างของคลีนิค พร้อมพาตรวจสอบภายในคลีนิก ก่อนพบของกลางเป็นยาจำนวนมาก และเครื่องทางการแพทย์ น้ำเกลือ ชุดผ่าตัดเล็ก เสื้อกราว เข็มฉีดยา ไหมเย็บผ้าอีกจำนวนมาก และเงินสดทีได้จากการรักษาพยาบาล 1390 บาท พร้อมเวชระเบียนของคนไข้ที่เคยมารักษาจากคลีนิกดังกล่าว จำนวน กว่า 6000 ฉบับ
จากสอบถาม นายบุญวิวัฒน์ หรือหมอพงษ์ อ้างว่า ตัวเองเป็นจริง และได้ทำการเปิดคลีนิกรักษาคนไข้มา 10 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ขอดูใบอนุญาตวิชาชีพ แต่ไม่พบ พบเพียงแค่ใบอนุญาตวิชาชีพแพทย์แผนไทย
ต่อมา ขณะที่ทำการตรวจค้น พบ หญิงสาวยืนอยู่บริเวณหน้าคลีนิก มีอาการตกใจ เจ้าหน้าที่จึงได้เรียกเข้ามาสอบถาม ก่อนพบว่า หญิงคนดังกล่าว ชื่อ น.ส.มีน นามสมมุติ ซึ่งได้บอกกับทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนว่าเพิ่งเข้ามาทำการรักษากับคลีนิกดังกล่าวเพราะมีอาการป่วยไข้ไม่สบาย และได้โดนฉีดยาไปจำนวน 1 เข็ม โดยมีนายณัฐวุฒิ เป็นคนฉีดยาให้ และหมอได้ให้ยากลับไปทาน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้บอกกับ น.ส.มีน ว่าให้รีบไปพบแพทย์ที่ รพ.ใกล้เคียงโดยเร็ว เนื่องจากไม่รู้ว่า ได้รับการฉีดยาตัวไหนเข้าไป

จากการสอบถาม นายณัฐวุฒิ รับว่าตนมีหน้าที่จดรายชื่อคนไข้ สอบถามอาการคนไข้ ฉีดยาจ่ายยาจากคำสั่งของนายบุญวิวัฒน์ หรือหมอพงษ์ ส่วนนายบุญวิวัฒน์ หรือหมอพงษ์ มีหน้าที่วินิจฉัยโรคและสั่งจ่ายยา พร้อมออกใบรับรองแพทย์ให้คนไข้ ส่วนนายณัฐวุฒิ ได้อ้างว่าได้เรียนฉีดยามาจากนายบุญวิวัฒน์และฝึกเองกับคนไข้ที่เข้ามารักษา
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการจับกุมดำเนินคดีก่อนแจ้งข้อกล่าวหา ป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาลมิได้จัดให้มีผู้ดำเนินการเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุม ดูแล และรับผิดชอบในการดำเนินการสถานพยาบาล ประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม . ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต
ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งวัตถุออฤทธิ์ ในประเภท 4
จากการรายงานข่าวพบว่า สถานพยาบาล ชื่อ เคหะราม คลีนิกเวชกรรมใบอนุญาตสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2568 มีนายบุญวิวัฒน์ ฯ เป็นได้รับอนุญาตประกอบกิจการ เปิดมาตั้งแต่ปี 2559 ส่วนผู้ดำเนินการตามกฎหมายคือแพทย์ ที่ทำหน้าที่ ควบคุม ดูแล และรับผิดชอบในการดำเนินการสถานพยาบาล นั้น นายบุญวิวัฒน์ ฯ รับว่าก่อนหน้านี้เคยว่าจ้าง นพ.อำนวย ศรีวัฒนาวานิช เป็นผู้ดำเนินการเมื่อใบอนุญาตหมดลงทาง นพ.อำนวย ฯ ไม่ได้ต่อ จากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น “หมอพงษ์ คลีนิกเวชกรรม” ซึ่งนายบุญวิวัฒ์ ฯ เป็นผู้รับผิดชอบ และได้เปิดคลีกนิคเวชกรรม “หมอวุฒิ สหคลินิกเวชกรรม” ให้นายณัฐวุฒิ ฯ เป็นคนรับผิดชอบ ในการักษาคนไข้ด้วยตนเอง ส่วนการเขียนใบสั่งยา และเขียนใบรับรองแพทย์ จะใช้ชื่อ นพ.อำนวย ศรีวัฒนาวานิช และ นพ.จักรกริศน์ พิมพสุต โดยสลับกันไปมาระหว่างคลินิกทั้ง 2 แห่ง เมื่อประมาณกลางเดือน ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา ทราบว่า กก.สส.บก.น.3 และ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จะเข้ามาทำการตรวจค้นจึงได้ปิดคลินิกทั้ง 2 แห่งไป เนื่องจากเกรงว่าจะถูกจับกุม

