“พริษฐ์” ยันไม่มี สสร. เลือกตั้ง ในทุกร่าง ปชน.แค่ตัด สสร.แต่งตั้งออก เพื่อป้องกันผูกขาด เผย กมธ.เห็นชอบสูตร “20 หยิบ 1” ตามข้อเสนอ

295

ที่รัฐสภา วันที่ 13 พฤศจิกายน  “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) และกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ สัดส่วนพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าในการประชุม กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมชี้แจงข้อมูลที่สื่อมวลชนนำเสนอเกี่ยวกับการลงมติเรื่องกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวานนี้ ว่าวานนี้ (12) กมธ.ได้มีการพิจารณาและลงมติเกี่ยวกับมาตรา 256/1 เกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งมีการนำเสนอโดยสื่อมวลชนในทางที่อาจจะทำให้เกิดความสับสนได้ว่ามีการตัดกลไก สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ออกนั้น ตนยืนยันว่ากรรมาธิการในสัดส่วนของ ปชน.ทั้ง 8 คน ยืนยัน และลงมติเพื่อสนับสนุนร่างของพรรคที่เราเสนอเข้ามาทุกประการ 

ก่อนหน้าที่จะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พรรคประชาชนยืนยันมาตลอดว่า สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และเป็นสิ่งที่หลายพรรคก็เห็นตรงกัน แต่เมื่อมีคำวินิจฉัยที่ระบุว่าประชาชนไม่อาจเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง จึงทำให้ไม่มีร่างของพรรคใดที่เสนอ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง พรรคจึงพยายามออกแบบกลไกที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตราบใดที่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัย โดยออกมาเป็นสองกลไก ประกอบด้วย 1) คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญ จึงไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้เนื่องจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และ 2) สภาที่ปรึกษาฯ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับฟังความเห็น และมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

พริษฐ์กล่าวว่า เมื่อวานจึงมีการลงมติของกรรมาธิการฯ ว่าเห็นด้วยกับสองกลไกนี้หรือไม่ โดยในส่วนของกลไกผู้ร่าง มี กมธ.จากพรรคเพื่อไทยที่เห็นต่างว่าควรมีการเสนอ สสร. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเข้ามาคั่นกลาง โดยรัฐสภาแต่งตั้ง สสร. แล้วให้ สสร. แต่งตั้งคณะ กมธ.ยกร่างอีกทีหนึ่ง ซึ่งในประเด็นนี้พรรคประชาชนเห็นว่าควรจะคงตามร่างของพรรคประชาชนไว้ เพราะการเพิ่ม สสร. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงเข้ามาอาจก่อให้เกิดปัญหามากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ

พริษฐ์ กล่าวขยายความว่า (1) อาจจะทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญกับประชาชนมีระยะห่างมากขึ้น เพราะประชาชนเลือก สส. โดยที่ สส. และ สว. จะต้องไปเลือก สสร. ก่อนที่ สสร. จะไปเลือก กมธ. ยกร่างอีกที และ (2) อาจทำให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมีความเสี่ยงที่จะถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากขึ้น หากฝ่ายดังกล่าวครองเสียงข้างมากใน สสร. อย่างเช่นกรณที่เสียงข้างมากของ สว. (ที่ถูกมองว่าเป็นสีเดียวกัน) มักมีการตั้งคณะกรรมาธิการสอบประวัติองค์กรอิสระจากกลุ่มตนเองหรือสีตนเองแบบเบ็ดเสร็จ 100%

พรรคประชาชนจึงยืนยันตามร่างของพรรค โดยเห็นว่าควรจะมีกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ควรเพิ่ม สสร. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงเข้ามาอีกระดับหนึ่ง ดังนั้น ที่มีการไปสื่อสารทางสื่อมวลชนว่ามีการตัด สสร. ออก จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะมันคือการลงมติไม่เห็นด้วยกับการเพิ่ม สสร. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เข้ามาเพิ่ม

“เราเห็นว่า สสร. จะมีประโยชน์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่ว่าที่มาของ สสร. เป็นอย่างไร – เมื่อวานในที่ประชุม ไม่ได้มีฝ่ายใดเสนอให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กมธ.เสียงข้างมาก จึงเห็นตามร่างของพรรคประชาชนที่ไม่ได้เพิ่ม สสร. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เข้ามาอีกระดับ”  สส.บัญชีรายชื่อ ปชน. กล่าว

พริษฐ์กล่าวถึงกรณีสภาที่ปรึกษาฯ ที่พรรคประชาชนเสนอเข้ามาเพื่อให้มีกลไกที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้โดยไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีการลงมติ มีเพียง กมธ.สัดส่วนของพรรคประชาชน 8 คน ที่ลงมติให้คงไว้ซึ่งสภาที่ปรึกษาฯ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ขณะที่กรรมาธิการในสัดส่วนอื่นทุกคนเห็นต่างออกไปว่าให้ตัดสภาที่ปรึกษาฯ ออก บางส่วนเพราะข้อกังวลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น ปชน. จึงลงมติยืนยันตามร่างของพรรคทุกประการ โดยลงมติอยู่ในเสียงข้างมากที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีการเพิ่ม สสร. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเข้ามา และลงมติอยู่ในเสียงข้างน้อยที่พยายามยืนยันให้มีสภาที่ปรึกษาฯ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่แพ้เสียงจากกรรมาธิการจากพรรคอื่นและวุฒิสภาที่เห็นควรให้ตัดกลไกดังกล่าวที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนนี้ออกไป

พริษฐ์กล่าวว่าวันนี้ คณะกรรมาธิการจะเดินหน้าในการพิจารณามาตราอื่นต่อ ซึ่งก็คือมาตรา 256/5 ซึ่งมีความสำคัญเพราะจะเป็นการลงมติว่าในการคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา จะใช้เกณฑ์อย่างไร หากเป็นร่างเดิมของพรรคภูมิใจไทยคือใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคประชาชนเกรงว่าอาจนำไปสู่การผูกขาดได้ เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่งมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา (เช่น สส. และ สว. รวมกันเกิน 350 คน) ก็อาจใช้เสียงข้างมากผูกขาดการตั้งกรรมาธิการร่างได้ 100% แบบเบ็ดเสร็จ

สิ่งที่พรรคประชาชนเสนอและอยู่ในร่างของพรรคประชาชนคือสูตร “20 หยิบ 1” ซึ่งคือการกำหนดให้สมาชิกรัฐสภาที่รวมตัวกันได้ 20 คน (ซึ่งมาจากการนำสมาชิกรัฐสภา 700 คน หารด้วย กรรมาธิการร่าง 35 คน) สามารถมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างได้หนึ่งคน เพื่อให้มีหลักประกันว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง และทำให้ผู้ร่างมีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกกลุ่มความคิด

ล่าสุด เมื่อเวลา 12.05 น. มีรายงานจากที่ประชุม ว่าที่ประชุม กมธ. ได้ลงมติเห็นชอบร่างมาตรา 256/5 ที่ใช้สูตร “20 หยิบ 1” ตามข้อเสนอของพรรคประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยมติ เห็นชอบ 19 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง งดดอกเสียง 10 เสียง โดยมีเพียงการปรับข้อความในร่างให้รัดกุมขึ้นจากร่างเดิมของพรรคประชาชน