“มาริษ” แนะ นายกฯ เด็ดขาดได้ แต่ต้องมี ”วุฒิภาวะทางการทูต” ไม่ผลักมิตรออกห่าง ควรใช้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมกัมพูชา”

519

พรรคเพื่อไทย, วันที่ 13 พ.ย. – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ แสดงความกังวลต่อต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่กำลังลุกลามและมีความเสี่ยงต่อผลประโยชน์ของชาติอย่างชัดเจนว่า จากรายงานของกองทัพบก จะเห็นพฤติกรรม รื้อรั้วลวดหนาม–ลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย ซึ่งเป็น เขตอธิปไตยของไทยโดยสมบูรณ์ และนำไปสู่การบาดเจ็บของทหารไทยถึง 4 นาย แต่สิ่งที่น่าห่วงไปกว่านั้นคือ แถลงการณ์ล่าสุดของ นายฮุน มาแน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่บิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาไทยว่า “ยิงก่อน” และถึงขั้นกล่าวอ้างว่าไทย “วางทุ่นระเบิดทำร้ายทหารตัวเอง” เพื่อสร้างสถานการณ์ พร้อมเร่งเดินเกมฟ้องร้องไทยในทุกเวที ไม่ว่าจะเป็น UN หรืออาเซียน

นายมาริษ กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการละเมิดปฏิญญาสันติภาพไทย–กัมพูชา และอนุสัญญาออตตาวาเท่านั้น แต่ยังเป็นความพยายามเปลี่ยนสถานะผู้ละเมิดให้กลายเป็นผู้ถูกกระทำ บนเวทีโลก และที่น่าห่วงกังวลมากขึ้น หลังจากที่นายกรัฐมนตรี เยี่ยมนายทหารที่บาดเจ็บ และให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว ปฏิเสธที่จะรับฟังและไม่ต้องการหารือกับมิตรประเทศใด ๆ ท้าทายประเทศมหาอำนาจโดยไม่มีความจำเป็น เสี่ยงทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ขณะที่ กัมพูชาได้เล่นเกมรุกสร้างข่าวที่บิดเบือน ฟ้องร้องประชาคมโลกว่า ประเทศไทยเป็นฝ่ายรุกรานก่อนในทุก ๆ เวที

นายมาริษ เสนอสิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างเร่งด่วน คือต้องประณามการละเมิดอธิปไตยไทยอย่างเป็นทางการ ว่ากัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงสันติภาพ การตอบโต้ของไทยเป็นสิทธิในการป้องกันตัวตามกฎหมายระหว่างประเทศ นี่คือสิ่งที่ต้องทำทันทีเพื่อไม่ให้ความจริงถูกกลบด้วยข้อมูลบิดเบือน รัฐบาลต้องเดินหน้า “การทูตเชิงรุก” โดยไทยต้องรีบประสานมาเลเซียและฟิลิปปินส์ในฐานะอดีต/ว่าที่ประธานอาเซียน, ต้อง พูดคุยกับสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นผู้ผลักดันและสักขีพยานในปฏิญญาสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิง ต้องเร่งชี้แจงต่อ UN ให้มีมติให้ทั้งสองประเทศแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกันเอง โดยใช้กลไกของอาเซียน และต้องใช้เวทีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญากรุงออตตาวา ที่นครเจนีวาในเดือนธันวาคมนี้ชี้แจงความชอบธรรมของไทย

อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า นี่คือการกลับไปสู่ยุทธศาสตร์ที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วจาก “โลกล้อมกดดันไทย” ให้กลายเป็น “โลกล้อมกดดันกัมพูชา” แต่ยุทธศาสตร์นี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อไทย ไม่ปิดกั้นการหารือและชี้แจงกับมิตรประเทศ และไม่ใช้ท่าทีที่ท้าทายกับประเทศมหาอำนาจ

นอกจากนี้นายมาริษยังแนะนำให้รัฐบาลเร่งจัดหา และร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อใช้หุ่นยนต์เก็บกู้ทุ่นระเบิด ใช้ วงจรปิดตามแนวชายแดน ขอรับการสนับสนุนหน่วยสุนัขค้นหาทุ่นระเบิดจากรัฐภาคีออตตาวา เพื่อให้การทำงานของทหารปลอดภัยที่สุด และลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้เขายืนยันว่าความตึงเครียดไทย–กัมพูชาไม่อาจแก้ได้ หากยังมีปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ การค้ามนุษย์และเครือข่ายอาชญากรมข้ามชาติ ไทยต้องแสดงบทบาทนำในการสร้างความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง, อาเซียน และในกรอบขององค์การสหประชาชาติ UNODC เพื่อทำลายวงจรเงินผิดกฎหมายอย่างจริงจัง และช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย ตามแผนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ทำไว้และทำสำเร็จมาแล้วบางส่วน

นายมาริษกล่าวสรุปว่า ไทยต้องปกป้องอธิปไตยอย่างเด็ดขาด “แต่ต้องทำด้วยวุฒิภาวะทางการทูต” ไม่ใช่ด้วยคำพูดที่สร้างความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น อย่าให้กัมพูชาพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ถูกรังแกบนเวทีโลก โดยต้องเปลี่ยนเกมให้กลับไปสู่ “โลกล้อมกัมพูชา” เหมือนที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้ว และรัฐบาลจะต้องไม่ผลักมิตรประเทศให้ออกห่าง และกลับมาใช้พลังของการทูตควบคู่กับการปกป้องชายแดนไทยอย่างมีวุฒิภาวะและเป็นมืออาชีพ