ชลบุรี, วันที่ 12 พฤศจิกายน – นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการอาหารเพื่อสัตว์ป่า” ระหว่าง บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมร่วมพิธีรับมอบอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) ณ สถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี โดยมี นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวต้อนรับ และย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือจากภาคเอกชนในการนำอาหารส่วนเกินมาจัดสรรเป็นอาหารสำหรับสัตว์ป่าในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะที่ นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเจตนารมณ์ของบริษัทในการขับเคลื่อนแนวคิด “Zero Food Waste” และบริหารจัดการอาหารส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ

ทั้งนี้ ก่อนเริ่มพิธี นายสุชาติ ได้นำคณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานร่วมยืนสงบนิ่งถวายความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นเวลา 1 นาที จากนั้นได้รับมอบอาหารส่วนเกินจากรถขนส่งของบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า ซึ่งได้นำส่งมายังสถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ เพื่อเตรียมจัดเป็นอาหารให้แก่สัตว์ป่า พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานของสถานีฯ และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

นายสุชาติ ได้กล่าวขอบคุณกรมอุทยานฯ และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศไทย ในการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อน อาหารส่วนเกินอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กในชีวิตประจำวัน แต่แท้จริงแล้วเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คน รัฐบาลจึงให้ความสำคัญ โดยประกาศให้ปี 2568 เป็น ‘ปีแห่งการเริ่มต้นรณรงค์ลดขยะอาหารของประเทศไทย’ เพื่อวางรากฐานสู่การลดขยะอาหารลงอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
ในส่วนของ ทส. ได้ส่งเสริมให้อุทยานแห่งชาติทั้ง 118 แห่งทั่วประเทศ ดำเนินการจัดการขยะอาหารอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวทาง 3R คือ Reduce – Reuse – Recycle รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนในการนำอาหารส่วนเกินที่ยังบริโภคได้มาบริจาคเพื่อเป็นอาหารสัตว์ป่าในสถานีเพาะเลี้ยงและศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่า 27 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นตัวอย่างของ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” ที่เปลี่ยนของเหลือทิ้งให้กลายเป็นทรัพยากร และช่วยดูแลสัตว์ป่าไปพร้อมกัน ทั้งยังเชื่อมโยงไปสู่การจัดการขยะเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Net Zero Emissions ที่รัฐบาลตั้งไว้ในปี ค.ศ. 2050

