ตร.บังคับใช้กฎหมาย เลือกปฏิบัติต่อ รองโจ๊ก กับ ผบ.ต่อ จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่.?

865

วันก่อน “ประดู่แดง” ได้นั่งดู รองฯ โจ๊ก ให้สัมภาษณ์กับพิธีกรรายการทีวีช่องหนึ่ง โดยรองโจ๊กกล่าวว่าจะดำเนินคดีเอาผิดฐานความผิดกับ ผบ.ต่าย โดยกล่าวหาว่าใช้กฎหมายสองมาตรฐาน โดยจะเอาผิด ผบ.ต่าย ผิดมาตรา 157 สาเหตุจากการที่สั่งดำเนินคดีและออกคำสั่งแตกต่างจาก พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล จึงหาข้อมูลข้อกฎหมายต่างๆ ของ ตร. มานั่งศึกษาเชิงลึก รวมถึงตระเวนคุยกับปรมาจารย์ด้านกฎหมาย พร้อมทั้งระเบียบข้อบังคับในการปฏิบัติเฉพาะทางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องการเลือกปฏิบัติในการดำเนินการทางวินัยในกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล มีหลายประเด็นทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง จะเห็นได้ว่า

มีความแตกต่างด้านผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 105 กำหนดผู้มีอำนาจสั่งการทางวินัยไว้แตกต่างกันตามตำแหน่งของผู้ถูกดำเนินการ กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้มีอำนาจตามมาตรา 105(2) ส่วนกรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจตามมาตรา 105(1) การที่ผู้มีอำนาจต่างกันจึงเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด มิใช่การเลือกปฏิบัติ

ความแตกต่างด้านข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีพยานหลักฐานชัดเจนถึงขั้นมีคดีอาญาที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน คดีที่ 391/2566 ประกอบกับมีกรณีที่ศาลอาญาได้ออกหมายจับที่ 1396/2567 ลงวันที่ 2 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่ชัดเจนและรุนแรง จึงถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 117/2567 และถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งที่ 118/2567

ขณะที่กรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 378/2568 ซึ่งเป็นขั้นตอนเบื้องต้นเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงก่อนพิจารณาว่าจะดำเนินการทางวินัยหรือไม่

ยังมีประเด็นหลักเกณฑ์การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 131 และตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. 2547 ข้อ 8 การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนจะกระทำได้ ต้องประกอบด้วยสองเงื่อนไขคือต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือต้องหาคดีอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา และผู้มีอำนาจเห็นว่าการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว

ซึ่งกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าเงื่อนไขทั้งสองประการ คือมีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและมีคดีอาญา ประกอบกับคดีมีความซับซ้อนจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว จึงถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วนกรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยังไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ยังไม่ถึงขั้นตั้งกรรมการสอบสวนวินัย

ผลการดำเนินการที่แตกต่างกันตามข้อเท็จจริง โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 149/2568 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2568 มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ พ้นจากราชการเนื่องจากเกษียณอายุราชการตามปกติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567

“ประดู่แดง” ก็พอสรุปได้ว่า การดำเนินการทางวินัยทั้งสองกรณีเป็นไปตามหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน โดยผู้มีอำนาจตามกฎหมายได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาจากพยานหลักฐานและความร้ายแรงของการกระทำในแต่ละกรณี การที่มีการดำเนินการแตกต่างกันจึงเป็นผลจากการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มิใช่การเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมในกรณีใด ผู้มีอำนาจตามกฎหมายย่อมจักต้องพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปตามควรแก่กรณี กรณีที่กล่าวมาถึงแม้จะมาจากภูมิปัญญาที่น้อยนิด แต่ท่านผู้อ่านที่เป็นกูรูสามารถนำไปศึกษาเทียบเคียงดูว่าจริงหรือไม่.?

ท้ายนี้ ขอฝากถึง FC โลกโซเชียล ตื่นรู้ อย่าไปหลงมัวเมาเชื่อในสิ่งต่างๆ ที่เป็นเรื่องเท็จ ความสะใจ เรียกยอดวิวจากอินฟลูหิวแสง ขบวนการยุติธรรมตำรวจจะต้องมีระเบียบข้อบังคับ การบังคับใช้กฎหมาย โดยต้องยึดหลักระบบคุณธรรมควบคู่ หากใครไม่ยึดถือปฏิบัติ ต้องเจอคุก ฐานผิด ม.157 และอยากให้ตำรวจเอาหลังพิงกฎหมายไว้ แล้วท่านจะเกษียณราชการแบบสง่างาม สมกับที่ท่านเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของประชาชน