จากเวทีประชุมสุดยอดที่ปูซาน โลกได้เห็นมากกว่าการพบกันของผู้นำสองประเทศมหาอำนาจ นี่คือสัญญาณของ “ยุคประสานผลประโยชน์” ระหว่างจีน–สหรัฐ ที่อาจกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลกในทศวรรษหน้า

การพบกันระหว่าง สี จิ้นผิง และ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ทางการทูตที่ทั่วโลกจับตา ไม่ใช่เพียงเพราะนี่คือการพบกันของผู้นำสองประเทศมหาอำนาจ แต่เพราะมันสะท้อนถึงความพยายามปรับทิศทางความสัมพันธ์โลก จาก “การแข่งขัน” สู่ “การประสานผลประโยชน์” อย่างมีนัยสำคัญ
บรรยากาศในการพบกันเต็มไปด้วยความชื่นมื่นและไมตรีจิต ทรัมป์เรียก สี จิ้นผิง ว่า “เพื่อน” พร้อมยกย่องว่าเป็น “ประธานาธิบดีที่มีความโดดเด่น” และ “ผู้นำของประเทศที่ยิ่งใหญ่” ขณะที่สี จิ้นผิง ตอบกลับด้วยคำว่า “อบอุ่น” ที่ได้พบกันอีกครั้ง ภาพของทั้งคู่เดินเคียงกันและกระซิบข้างหูก่อนแยกตัว ถูกสื่อโลกตีความว่าเป็นสัญญาณของ “ความไว้เนื้อเชื่อใจที่กำลังค่อย ๆ ฟื้นคืน” หลังจากปีแห่งความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมือง
น่าสังเกตว่า สี จิ้นผิง เลือกหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่สื่อถึง “ความเป็นคู่แข่ง” หรือ “คู่ปรปักษ์” อย่างที่เคยปรากฏในเวทีที่ผ่านมา เขากล่าวถึงสหรัฐฯ ในฐานะ “หุ้นส่วนและมิตร” พร้อมย้ำว่าการพัฒนาของจีน “สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของทรัมป์ ที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ถ้อยคำนี้สะท้อนถึงท่าทีทางการทูตที่ประนีประนอมและส่งสัญญาณว่า จีนต้องการเปิดประตูสู่การเจรจาเชิงสร้างสรรค์มากกว่าการแข่งขันเชิงอำนาจ
การสนทนาระหว่างสองผู้นำยังแตะประเด็นสันติภาพในภูมิภาคและระดับโลก สี จิ้นผิง กล่าวยกย่องบทบาทของทรัมป์ในการผลักดันข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอล–ฮามาสว่า “มีคุณูปการยิ่งใหญ่” ขณะเดียวกันยังยืนยันว่าจีนดำเนินบทบาทไกล่เกลี่ยในแนวทางของตน แม้ไม่ได้อยู่ในแนวหน้าในการยุติความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ท่าทีเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ทั้งสองประเทศต่างเริ่มมอง “ความมั่นคงโลก” เป็นพื้นที่ร่วมกันมากกว่าพื้นที่ขัดแย้ง
ที่สำคัญ การพบกันครั้งนี้ไม่ได้จบเพียงแค่ภาพลักษณ์ หากแต่มี “ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม” ทรัมป์ประกาศลดภาษีศุลกากรสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสารเฟนทานิลจากจีนลง 10% ทันที พร้อมระบุว่าข้อตกลงทางการค้าใหม่ระหว่างสองประเทศจะเกิดขึ้น “ในเร็ว ๆ นี้” ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ จะชะลอการสอบสวนกรณีอุตสาหกรรมต่อเรือของจีนภายใต้มาตรา 301 ซึ่งเป็นประเด็นร้อนด้านการค้าระหว่างประเทศมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประกาศแผนเยือนจีนในเดือนเมษายนปีหน้า พร้อมเชิญ สี จิ้นผิง เดินทางเยือนสหรัฐฯ ในโอกาสถัดไป ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกของการสานสัมพันธ์ในระยะยาว
หลังการเจรจา ทรัมป์ไม่ปิดบังความประทับใจ เขาให้คะแนนการพบปะครั้งนี้ “12 เต็ม 10” พร้อมเผยว่าจีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ใน “ปริมาณมหาศาล” และปัญหาเรื่องการส่งออกแร่หายากซึ่งเคยเป็นอุปสรรคสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี “ได้คลี่คลายลงแล้ว”
การจับมือครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียง “สัญลักษณ์ทางการทูต” แต่เป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่สะท้อนว่า มหาอำนาจทั้งสองอาจเริ่มหาทางอยู่ร่วมกันบนสมดุลใหม่—ระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ของตน กับการรักษาเสถียรภาพของโลกในภาพรวม
โลกอาจกำลังขยับจาก “สงครามเย็นทางเศรษฐกิจ”สู่ “ยุคแห่งไมตรีและสมดุลผลประโยชน์” ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในปูซาน
ขอบคุณภาพจากเพจสถานทูตจีน คลิกอ่านที่นี่

