สภาเอสเอ็มอีหนุนตั้ง “กองทุนภัยพิบัติ SMEs” ชูโมเดล “เร็ว–ง่าย–จ่ายไว” แนะเริ่มทดลองใน Sandbox ก่อน

851

สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) สภาเอสเอ็มอี หนุน คปภ. ตั้งกองทุนภัยพิบัติ SMEs ชี้โมเดลใหม่ต้อง “เร็ว-ง่าย-จ่ายไว” แนะเริ่ม “Sandbox” ก่อน

กรุงเทพมหานคร – 27 ตุลาคม 2568 – นายรณดล นุ่มนนท์ อดีตรองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย นำคณะผู้บริหารระดับสูงจากหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 13 ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เข้าพบผู้บริหารสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) ณ ธนาคารดอยช์แบงก์ เพื่อหารือถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง “กองทุนเพื่อภัยพิบัติสำหรับ SMEs” พร้อมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะจากสภาฯ

สภาเอสเอ็มอี ได้ยื่นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยย้ำจุดยืนสนับสนุนการจัดตั้ง แต่เสนอให้ปฏิรูปแนวคิดใหม่ทั้งหมด โดยชี้ว่ากองทุนใหม่ต้อง “ไม่ใช่” กองทุนที่จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายแบบเดิม (Indemnity-based) ที่ล่าช้า แต่ต้องเน้นการจ่ายเงินช่วยเหลือฉุกเฉินแบบ “Parametric” (ตามตัวชี้วัด) ที่ “เร็ว” และ “ง่าย” เพื่อให้ SMEs ได้รับเงินก้อนแรกไปประคองธุรกิจอย่างรวดเร็ว


ดร.สุทัด ครองชนม์ รองประธานอาวุโส กล่าวเสริมว่า “SMEs รายใหญ่ในระบบอาจมีประกันอยู่แล้ว แต่หัวใจของกองทุนนี้คือกลุ่ม ‘ไมโครเอสเอ็มอี’ หรือ ‘บุคคลธรรมดา’ เช่น ร้านค้าโชห่วย ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่อยู่นอกระบบ หากเราออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สื่อสารได้ว่า คุ้มครองความเสียหายหลักล้านด้วยเบี้ยประกันเพียงหลักร้อย ผมเชื่อว่าพวกเขาจะสนใจเข้าร่วม”

ด้าน คุณรมนต์อร บุญเรือง เลขาธิการสภาฯ ได้นำเสนอประเด็นสำคัญว่า “หัวใจของ SMEs ไม่ได้ล้มละลายเพราะโรงงานไฟไหม้ แต่ล้มละลายเพราะ ‘ไม่มีรายได้’ ระหว่างซ่อมโรงงาน ซึ่งการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (BI) ที่มีอยู่ซับซ้อนและแพงมาก นอกจากนี้ ประกันเดิมยังไม่ครอบคลุม ‘สต็อกสินค้าและเครื่องจักร’ ที่ไม่ได้จำนอง หรือภัยพิบัติที่ ‘อยู่นอกนิยาม’ เช่น ภัยแล้ง, PM2.5, หรือโรคระบาด”


“ดังนั้น กองทุนนี้ต้องเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่เน้น ‘การอยู่รอดของผู้ประกอบการ’ มากกว่าการชดเชยทรัพย์สิน สภาฯ จึงเสนอให้กองทุนนี้ต้องเป็นแบบ ‘กึ่งบังคับ’ เพื่อแก้ปัญหา Adverse Selection และสร้างความยั่งยืน นอกจากนี้ กองทุนฯ ควรเข้ามา ‘อุดหนุนเบี้ยประกัน’ ภาคบังคับเดิม ให้ครอบคลุม BI และภัยธรรมชาติ และต้องมีแรงจูงใจให้ SMEs ทำ Risk Reduction (การลดความเสี่ยง) โดยให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมด้วย” คุณรมนต์อร กล่าว

ขณะที่ นายสรโชติ อำพันวงษ์ รองประธานสภาอาวุโส เสนอว่า “เราควรเริ่มในพื้นที่ sandbox ก่อน เพื่อเป็นโครงการนำร่องศึกษาความเป็นไปได้ จากนั้นจึงใช้กองทุนนี้เป็นเครื่องมือดึง SMEs ที่อยู่นอกระบบให้เข้าสู่ระบบภาษี โดยรัฐอาจช่วยอุดหนุนเบี้ยในระยะแรกเพื่อสร้างแรงจูงใจ”

นายพิตรพิบูล ธีร์จันทึก ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) ให้ข้อมูลว่า “ปัจจุบันมี SMEs ในฐานข้อมูลประมาณ 3.2 ล้านราย แต่ยังมีกลุ่มนอกระบบอีกนับล้านรายที่ยังเข้าไม่ถึงกลไกช่วยเหลือ การออกแบบกองทุนที่เข้าถึงง่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น”

โดยสรุป สภาเอสเอ็มอีย้ำว่า กองทุนนี้ควรถูกวางบทบาทให้เป็น “กองทุนเพื่อการอยู่รอดและฟื้นตัวเร็ว” ที่เน้นการอัดฉีดสภาพคล่องฉุกเฉินให้ธุรกิจเดินต่อได้ มากกว่าการเน้นชดเชยมูลค่าทรัพย์สินแบบเดิม โดยสภาฯ พร้อมให้ความร่วมมือกับ คปภ. และทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้เกิดกลไกที่ยั่งยืนและเป็นที่พึ่งให้กับ SMEs ไทยในยามวิกฤตต่อไป