“ทวี” เดินหน้า “กม.นิรโทษที่ดิน” หวังคืนความเป็นธรรม ปชช.เหยื่อนโยบายรัฐโดยเร็ว ชี้เพิ่มพื้นที่ป่าต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วม เผยไทยเหลื่อมล้ำที่ดินติดอันดับโลก คนรวย 1% ครองที่ดินรวมมากกว่าคนทั้งประเทศ

453

รัฐสภา, วันที่ 28 ตุลาคม – พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ อดีตรมว.ยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราช บัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ (กมธ. ร่าง กม. นิรโทษที่ดิน) โดยมีนายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล รองประธาน กมธ.พร้อมด้วย คณะ กมธ. และที่ปรึกษา เข้าร่วมประชุมกันโดยพร้อมเพรียง ซึ่งที่ประชุมได้แสดงความคิดเห็นในรายมาตราอย่างหลากหลาย และเป็นประโยชน์

พันตำรวจเอก ทวี เปิดเผยความคืบหน้าของ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษที่ดิน ว่า กมธ.ได้ประชุมกันอย่างต่อเนื่อง โดยได้เรียกประชุมครั้งที่ 9 ในวันพรุ่งนี้ (29) ก่อนที่จะปิดสมัยประชุมของรัฐสภา โดยในช่วงปิดสมัยประชุม ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 12 ธันวาคม 2568 คณะกมธ. มีแผนที่จะนัดประชุมรับฟังความเห็นเพิ่มเพื่อให้ร่างกฎหมายฉบับนี้สามารถอำนวยความยุติธรรมได้สูงสุด เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยหวังว่าจะสามารถเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และวาระ 3 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่จะเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญประจำปีครั้งที่ 2)

ประธาน กมธ. ยืนยันใน “หลักการ” ของ กม. นี้ ว่า เนื่องจากมีประชาชนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามกฎหมาย และนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน จากการประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของราษฎร ทั้งที่ประชาชนอยู่อาศัยทำกินมาก่อนการประกาศ ส่งผลให้ชาวบ้านต้องกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายที่มาประกาศภายหลังอย่างไม่เป็นธรรม ส่วนผู้เป็นนายทุน ผู้กระทำผิดกฎหมายทุกชนิด หรือผู้ที่ได้ครอบครองที่ดินที่ได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบและถูกดำเนินคดีบุกรุก จะต้องไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมและล้างมลทินจากกฎหมายฉบับนี้โดยเด็ดขาด

ผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมและล้างมลทิน ตามร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระ 1 จำนวน 2 ร่าง มี 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก แต่ได้รับการผ่อนผันตามมาตรการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ และมิได้มีการฝ่าฝืนหรือกระทำผิดหลักเกณฑ์ตามมาตรการดังกล่าว โดยมติครม.ดังกล่าว สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของประชาชนประมาณ 4.7 ล้านไร่ เจ้าหน้าที่มิได้ดำเนินการอย่างจริงจัง มีการผ่อนผันให้อยู่อาศัยและทำกินมาโดยตลอด จนเกิดการดำเนินคดีกับราษฎรถูกจำคุก ปรับและขับไล่ออกจากพื้นที่จำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม

กลุ่มที่ 2 ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก “นโยบายทวงคืนผืนป่า” โดยเป็นผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก ก่อนที่จะได้รับการคุ้มครองตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ที่มุ่งคุ้มครองผู้ยากไร้ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากนโยบายปราบปรามนายทุน แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่นำนโยบายดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ทำให้คนจนผู้ยากไร้ถูกแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะคดีมวลชน โดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งกลุ่มนี้มีอยู่ 5,459 ราย

กลุ่มที่ 3 ประชาชนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการกรณีรัฐประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนอยู่มาก่อน ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นั้นกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายไป หรือกลุ่มคืนสิทธิ คืนสถานะให้กับผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินก่อนวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก เพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์และขอรับสิทธิในที่ดินตามกฎหมายหรือนโยบายภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน

พันตำรวจเอกทวีกล่าวว่า เราไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าและประสิทธิภาพการจัดการป่าได้ หากภาครัฐยังปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือผลักให้ชุมชนที่อาศัยอยู่กับป่าต้องสุ่มเสี่ยงกับนโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ประเทศไทยมีพื้นที่เขตป่าไม้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ สูงถึง 135.41 ล้านไร่ แต่มีสภาพป่าไม้จริงเหลืออยู่เพียง 101.78 ล้านไร่ หรือ 31.46% ของพื้นที่ประเทศไทย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน เช่น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 1,221 แห่ง มีพื้นที่รวม 58.69 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมเพียง 32.51 ล้านไร่ หรือพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีพื้นที่รวม 41.06 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมเพียง 33.97 ล้านไร่ เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ตระหนักดีถึงเป้าหมายของการมีพื้นที่ป่า 40% ของพื้นที่ประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ ซึ่งเรายังต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอีกถึง 27.6 ล้านไร่ ภาคประชาชนเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าบนพื้นที่ดินตนเองเพื่อเป้าหมายการมีสภาพแวดล้อมที่ดีส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป

หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า “ทุกท่านคงตระหนักดีว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดินอย่างรุนแรงระดับโลก ที่ดินในส่วนเอกชนจากข้อมูลเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินจากกรมที่ดินระบุว่า 99% ของเอกสารสิทธิที่ประชาชนทั่วไปถือครองอยู่นั้น มีพื้นที่ไม่ถึง 50 ไร่ หรือเฉลี่ยเพียงแค่รายละ 2-6 ไร่ ส่วนกลุ่มผู้ที่ถือครองที่ดินมากกว่า 200 ไร่นั้น มีจำนวนไม่ถึง 1% แต่กลับครอบครองพื้นที่รวมกันมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งนี้กลุ่มผู้ถือครองที่ดินเกิน 1,000 ไร่ มีอยู่เพียง 130 ราย โดยถือครองที่ดินรวมกว่า 2 ล้านไร่ ในขณะที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐที่ประชาชนอาศัยอยู่ และหลายชุมชนอยู่มาก่อนรัฐ สืบทอดการทำกินมาหลายชั่วอายุคนแต่เมื่อรัฐประกาศเขตป่า ประชาชนกลับกลายเป็นผู้บุกรุกในบ้านเกิดตนเอง”

ทั้งนี้คณะกรรมาธิการฯ มีเป้าหมายที่จะให้เกิดกระบวนการพิสูจน์สิทธิให้แก่ประชาชนที่อยู่ทำกินและอาศัยมาก่อนการประกาศเป็นที่ดินของรัฐอย่างแท้จริง โดยจะกำหนดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ชัดเจน มีขั้นตอนการพิสูจน์สิทธิที่ดินที่เป็นธรรม โปร่งใส มีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย จะให้มีการกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบที่เหมาะสมไม่ล่าช้าเหมือนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม ผู้ยากไร้สามารถแสดงหลักฐานได้อย่างเต็มที่ โดยมิให้หน้าที่ของการเข้าถึงข้อมูลประกอบการพิสูจน์สิทธิเป็นค่าใช้จ่ายของประชาชน

”ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงถือได้ว่าเป็นกฎหมายสำคัญที่จะรับรองหลักการของ ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม หรือสิทธิในการดูแลจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นระบบสิทธิชุมชนตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ให้เกิดขึ้นจริงนั่นเอง” พันตำรวจเอก ทวี กล่าว