สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ เปิดโครงการ “มองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ รุ่นที่ 7” ทูตจีน “จาง เจี้ยนเว่ย” ย้ำจีนพร้อมร่วมมือไทยปราบสแกมเมอร์ สนับสนุนแนวทางอาเซียนแก้ข้อพิพาทชายแดน พร้อมชี้เศรษฐกิจจีนยังโตต่อเนื่อง มุ่งสู่พัฒนาอย่างมีคุณภาพใน “แผนฉบับที่ 15”

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดตัวโครงการ มองจีนยุคใหม่สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ รุ่นที่ 7 ทูตจีนย้ำให้ความร่วมมือไทยแก้ปัญหาสแกมเมอร์และพร้อมสนับสนุนการเจรจาแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
วันนี้ (24 ต.ค.2568) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการ
มองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ รุ่นที่ 7 เยือน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง โดยฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย มากล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน”

นางสาว น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานว่า กิจกรรมนี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นผลจากความร่วมมือสองฝ่ายคือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันเกี่ยวกับประเทศจีนในมิติที่รอบด้านแก่สื่อมวลชนไทย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ จะสามารถกลับมารายงานข่าวสารไปสู่คนไทยได้อย่างตรงไปตรงมา
“การจัดอบรมในปีนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพ” ที่สะท้อนถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยาวนานของทั้งสองประเทศ นอกเหนือจากการรับฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจีนในประเทศไทยแล้ว คณะจะเดินทางไปเยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นประตูยุทธศาสตร์ที่เชื่อมจีนเข้ากับอาเซียน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในข้อริริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ด้วย”

ด้านเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมความร่วมมือในการจัดโครงการนี้และหวังว่าสื่อมวลชนจะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของสองฝ่ายไปสู่อีก 50 ปีทองต่อไป พร้อมกล่าวถึงผลการทำงานภายใต้ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14” ของจีนซึ่งปีนี้เป็นปีสุดท้ายของแผน ซึ่งจีนต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านทั้งสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน และมีภารกิจการปฏิรูป การพัฒนา และการรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ อย่างไรก็ตามถือว่าจีนมีส่วนช่วยต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากถึงประมาณ 30% ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบการพัฒนาเศรษฐกิจจีนตามแผนฯ พบว่าเติบโตทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจาก 110 เป็น 120 ล้านล้าน และ 130 ล้านล้านหยวนตามลำดับ โดย 4 ปีแรกมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5.5% และคาดว่าตลอด 5 ปีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 35 ล้านล้านหยวน ปีนี้(2568)คาดว่า GDP จะสูงถึงราว 140 ล้านล้านหยวน
เป้าหมายหลักของ “แผนฉบับที่ 15” ซึ่งจะเริ่มในปีหน้านั้น จะเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการชี้นำทิศทางการพัฒนาของประเทศ ผลักดันแนวปฏิบัติของการพัฒนาประเทศ และกำกับการพัฒนาของประเทศจีน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพสูง ยกระดับความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงปี 2035 จีนจะสามารถบรรลุความยิ่งใหญ่ ทั้งทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ความมั่นคง ความเข้มแข็งในภาพรวมและบทบาทในเวทีโลก รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชาชนจีนจะเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาในระดับปานกลาง ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุข และบรรลุความทันสมัย ตามแบบของระบอบสังคมนิยม

เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ยังกล่าวด้วยว่าจีนกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมของโลก อยู่ใน 10 อันดับแรกของดัชนีนวัตกรรมโลก เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการพัฒนานวัตกรรมที่เร็วที่สุดของโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้จีนกลายเป็นผู้นำโลกด้านการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ในช่วง 4 ปีแรก จีนสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 5.5% ด้วยอัตราการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 4.7% ความเข้มข้นของการใช้พลังงานลดลงสะสมถึง 11.6% ในปัจจุบัน พลังงานไฟฟ้าที่ประชาชนจีนใช้ทุก ๆ 3 หน่วย จะมี 1 หน่วยเป็นพลังงานสีเขียว ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ใช้พลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในโลก จีนมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน มีผู้มีรายได้ปานกลางมากกว่า 400 ล้านคน มีการบริโภคเกือบ 50 ล้านล้านหยวนต่อปี และมีการนำเข้ากว่า 20 ล้านล้านหยวนต่อปี ดังนั้น ตลาดขนาดใหญ่ของจีนกำลังเปลี่ยนผ่านจาก “การตอบสนองความต้องการภายในประเทศจีน” เป็น “โอกาสของโลก”
นอกจากนี้ นายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยยังกล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาสแกมเมอร์และอาชญากรรมหลอกลวงที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ขณะนี้โดยมีการเชื่อมโยงไปถึงผู้ต้องหาสัญชาติจีนว่า รัฐบาลจีนชื่นชมฝ่ายไทยที่ใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพในการปราบปรามการพนันออนไลน์และการหลอกลวงออนไลน์ พร้อมย้ำให้ความร่วมมือกับไทยเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวรวมทั้งกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วย

ฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย
“กรณีแก้ปัญหาสแกมเมอร์ทั้งไทยและจีนควรเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย ความมั่นคงรวมทั้งกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และรักษาระเบียบการอยู่ร่วมกันของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ในประเด็นความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น จีนยึดมั่นในจุดยืนที่เป็นกลางและเป็นธรรมมาโดยตลอด อีกทั้งพยายามช่วยไกล่เกลี่ยและผลักดันการเจรจา จีนสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจาด้วยสันติวิธี และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาตาม “แนวทางของอาเซียน”

