โลกสื่อโซเชียล..!! แขวนตำรวจปมลุยสแกมเมอร์-ยันทำก่อนประเทศอื่น แต่เสมือนน้ำท่วมปาก แนะ สร.1 ต้องนำทัพ ถ้าทำได้ ปชช.เทคะแนนท่วม + ปรบมือให้ทั้งแผ่นดิน

1121

ในจังหวะที่รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเกมลุยจัดหนักกับแก๊งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา ส่งผลให้เกิดกระแสกดดันไปถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่าต้องยึดโมเดลเกาหลีใต้ นายอนุทินมิได้รอช้า หลังประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี

หลังประกาศเป็นวาระแห่งชาติ สังคมตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาไทยได้ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้ว และทำไมไม่จัดการแบบเกาหลีใต้ พร้อมกับพุ่งเป้าไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)

กระทั่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกมาแถลงว่า “การปราบแก๊งสแกมเมอร์ จริงๆ แล้วเราทำงานนำกว่าทุกประเทศ มีข้อมูลอยู่แล้วและประสานกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ตลอด บางประเทศให้ความร่วมมือ บางประเทศไม่ให้ความร่วมมือ…”

พลันที่ข่าวแพร่ออกไป สังคมโซเชียลตัดประโยคที่ว่า “เราทำงานนำกว่าทุกประเทศ” ไปแขวนไว้ตามแพลตฟอร์มต่างๆ ให้ชาวโซเชียลรุมถล่มในเชิงเยาะเย้ย อาทิ “ตำรวจทำจริงหรือ?”, “กล้าออกมาพูดเนอะ ปราบก่อนเขา ขอดูผลงานหน่อย”, “พูดมา จะมีใครเชื่อมั้ยครับ ก่อนหรือหลังไม่สำคัญ สำคัญที่ผลงานครับท่าน” และ “ใช่! ลูบหน้าปะจมูก เจอตอก็จ๊าก” เป็นต้น

การตัดตอนคำพูดมาแขวนเสมือนพุ่งเป้าให้สังคมถล่มการทำงานของตำรวจในเชิงลบ มากกว่าที่จะกระตุ้นหรือให้กำลังใจตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)

ทั้งที่รายละเอียดคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานที่ผ่านมาชัดเจนในหลายประเด็น อาทิ ตำรวจมีข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งหมดแล้ว แต่จะไปเอ่ยชื่อกลุ่มบุคคลทั้งหมดไม่ได้ เพราะต้องมีพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จะดำเนินคดีกับกลุ่มเหล่านี้แน่นอน การปฏิบัติงานของตำรวจมีพื้นฐานเป็นข้อมูล สามารถเปิดเผยได้เพียงบางเรื่องเท่านั้น

ขณะที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ในฐานะโฆษกศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ยืนยันว่า ยกระดับการทำงานของศูนย์วอร์รูมที่จัดตั้งขึ้น ทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อดูแลเรื่องอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้น นับแต่ตั้งศูนย์ฯ มาสามารถระงับการเคลื่อนย้ายเงินออกนอกประเทศได้มากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ในฐานะโฆษกศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.)

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังได้ยืนยันถึงการปฏิบัติงานว่า ตำรวจไทยทำมาตลอด แบบที่เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ปฏิบัติ ตำรวจไทยทำมาก่อนแล้วและพยายามทำมาตลอด ขอยกตัวอย่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2567 พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะลีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้า ศปอส.ตร. เดินทางไปกรุงพนมเปญ เพื่อมอบข้อมูลที่ตำรวจไทยเรียกว่า “คดีภูริคาสิโน” เป็นที่ตั้งทั้งคาสิโนและเครือข่ายสแกมเมอร์ สามารถขยายผลออกหมายจับผู้ทำผิดทั้งคนไทยและกัมพูชาได้มากกว่า 160 หมายจับ

“ทางการกัมพูชาพาตำรวจไทยไปดูตามสถานที่ตั้ง เป็นอาคารปฏิบัติการของสแกมเมอร์ ได้พบอาคารที่รั้วรอบขอบชิด มีส่วนของการกักขังและห้องปฏิบัติงานเหมือนที่ตำรวจเกาหลีใต้เจอ แต่หลังจากกำหนดวันที่จะส่งปฏิบัติการจับกุมและช่วยเหลือ กลับถูกเลื่อนนัดหมายโดยตลอด จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 1 เดือน ทางการกัมพูชาขอให้เจ้าหน้าที่ไทยกลับประเทศก่อน แล้วค่อยนัดหมายใหม่ ส่งผลให้ตำรวจไทยต้องกลับมือเปล่า” พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุ และว่า ตำรวจไทยเดินหน้าปฏิบัติการมาก่อนเกาหลีใต้และทำอย่างจริงจัง เนื่องจากมีหมายจับชัดเจน แต่ความร่วมมือที่เราได้รับจากกัมพูชาแตกต่างจากที่กัมพูชาให้ความร่วมมือกับเกาหลีใต้

จากคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ พอเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าตำรวจไทยมิได้นิ่งเฉยที่จะจัดการกับแก๊งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แถมทำงานในเชิงรุกอีกต่างหาก เพราะบุกไปถึงถิ่นกัมพูชา แต่เจอ “ความเจ้าเล่ห์ของกัมพูชา” ต้องกลับแบบมือเปล่า

ถ้ามองถึงการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จัดว่าเป็นปัญหาระดับประเทศหรือระดับโลกไปแล้ว แนะ สร.1 ต้องนำทัพ ถ้าทำได้ ประชาชนเทคะแนนท่วม ปรบมือให้ทั้งประเทศ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้นำ ทำงานแบบบูรณาการให้ทุกหน่วยงานผนึกกำลังกันเดินหน้าลุย

เศรษฐา ทวีสิน​ อดีตนายกรัฐมนตรี

หากมองย้อนในช่วงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มีการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างหนักเช่นกัน แต่ไม่บรรลุเป้า เพราะมีเพียงตำรวจที่ลุยเดี่ยว จน ผบ.ตร. ได้ข้อสรุปพร้อมเสนอแนะนายเศรษฐาว่า ถ้าจะปราบให้อยู่หมัด นายกฯ ต้องจับเข่าคุยกับนายกฯ กัมพูชา แล้วผนึกกำลังกันปราบ แต่ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือ ใช้วิธีตัดไฟ ตัดน้ำ และการสื่อสารทุกชนิด แต่ไม่ทันจะดำเนินการ นายเศรษฐากระเด็นตกเก้าอี้ และ ผบ.ตร. เกษียณอายุเสียก่อน

ข้อมูลที่ “ประดู่แดง” นำเสนอ เพื่อสื่อสารว่า “ตำรวจมิเคยนิ่งเฉย” ที่จะปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์เลย แต่ทุกครั้งที่หยิบทั้งสองปัญหาขึ้นมาดำเนินการ ตำรวจจะต้องรับบทหนังหน้าไฟแทนรัฐบาล ครั้นให้ผู้บริหาร ตร. ออกมาบอกความจริงกับสังคม แจกแจงทุกประเด็นปัญหา ก็ทำได้ยาก เพราะเป็นข้อมูลที่ต้องใช้ในการสืบสวน แถมบางข้อมูลโยงใยถึงผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ ด้วย

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าผู้บริหารสำนักปทุมวันอยู่ในอาการน้ำท่วมปาก น่าจะใกล้ความเป็นจริงที่สุด และสื่อโซเชียลที่จะแขวนตำรวจให้ถูกถล่ม ควรตรึกตรองข้อมูลให้ดีก่อน น่าจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย!!!