หน้าแรกการเมือง“รวมพลังแผ่นดินฯ” ค้านร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ – จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 43 หวั่นไทยเสียดินแดน

“รวมพลังแผ่นดินฯ” ค้านร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ – จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 43 หวั่นไทยเสียดินแดน

คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดย จตุพร พรหมพันธุ์, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, สมชาย แสวงการ และแกนนำอีกหลายราย แถลงจุดยืนคัดค้านการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ชี้เป็นความพยายามเปลี่ยนโครงสร้างประเทศ ขณะเดียวกันเรียกร้องรัฐบาลเร่งยกเลิก MOU 43–44 กับกัมพูชา หวั่นกระทบอธิปไตยและเสียดินแดนไทย พร้อมเตรียมเคลื่อนไหวใหญ่ยื่นหนังสือกระทรวงการต่างประเทศ 20 ตุลาคมนี้

วันนี้ (15 ต.ค.) คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์จุดยืนการเคลื่อนไหวทางการเมือง หลังจากเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อสอบกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 144 รวมถึงกรณีคำร้องของนายทวี สอดส่อง ที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร และคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร

นอกจากนี้ ยังได้หยิบยกประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศ ทั้งกรณีไทย–กัมพูชา ที่มีการแทรกแซงจากต่างชาติโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงปัญหา “ตั๋ว PN” และการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ

โดยมีแกนนำสำคัญร่วมแถลง ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายนิติธร ล้ำเหลือ, นายพิชิต ไชยมงคล, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นายสมชาย แสวงการ และนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงการผลักดัน “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ของรัฐบาล ว่ามีลักษณะเป็นการร่างใหม่ทั้งฉบับ ไม่ใช่การแก้ไขรายมาตราอย่างที่อ้าง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย แม้จะยืนยันว่าไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 แต่ในทางปฏิบัติถือเป็นการยกร่างใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสำคัญของประเทศ ทั้งคุณสมบัติของ สส., สว., รัฐมนตรี รวมถึงองค์กรอิสระต่าง ๆ

คณะรวมพลังแผ่นดินฯ เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รายมาตรา” เท่านั้น โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวข้องกับการปราบโกงและความโปร่งใส เช่น การกำหนดคุณสมบัติเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของนักการเมือง และการแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติให้ชัดเจน รวมถึงการคงไว้ขององค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบ

ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่าควรให้ความสำคัญกับ “MOU 43 และ MOU 44” ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่อาจนำไปสู่การเสียดินแดนทางบกและทางทะเล โดยเฉพาะ MOU 43 ที่เปิดช่องให้เกิดปัญหาทางเขตแดนในอนาคต

การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่จะมีขึ้นในวันที่ 26–27 ตุลาคมนี้ มีรายงานว่ามาเลเซียเชิญสหรัฐฯ เป็นประธาน เพื่อร่วมลงนาม “ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์” ว่าด้วยสันติภาพชายแดน โดยฝ่ายไทยได้ยื่นเงื่อนไขต่อกัมพูชา 4 ข้อ ได้แก่
1. จัดการกับทุ่นระเบิดในพื้นที่พิพาท
2. เคลื่อนย้ายกำลังทหารและอาวุธออกจากพื้นที่
3. เคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่
4. ปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์

ตนขอเตือนว่า แม้กัมพูชาจะยอมรับทั้ง 4 ข้อ ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะยุติ เพราะ “หัวใจของปัญหา” คือ MOU 43 ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในทางอธิปไตย

โดยคำพูดของนักการทูตท่านหนึ่งว่า เหตุการณ์ที่กัมพูชาใช้อาวุธในพื้นที่ชายแดน ถือเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” ที่ไทยสามารถใช้เพื่อยกเลิก MOU 43 ได้โดยฝ่ายเดียว พร้อมเสนอให้รัฐบาลไทยไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) และเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ประกาศยกเลิก MOU 43 ภายใน 3 เดือน โดยไม่จำเป็นต้องทำประชามติ

สำหรับกรณี “เปิดเสียงผีชายแดน” ว่าเป็นมาตรการเชิงจิตวิทยาตามหลักสากลที่หลายประเทศใช้ ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และขอให้ผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กลับไปศึกษาให้เข้าใจข้อเท็จจริง

ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ระบุว่า ปัจจุบันรัฐบาลและกองทัพยังไม่มีมาตรการชัดเจนในการแก้ปัญหาชายแดน ทั้งที่สถานการณ์เริ่มซับซ้อนมากขึ้นจากการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ และมาเลเซียในเวทีอาเซียน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดง “ความเด็ดขาด” โดยระงับการเจรจากับกัมพูชาทุกช่องทาง จนกว่ารัฐบาลกัมพูชาจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของไทย

ในวันที่ 20 ตุลาคม เวลา 10.00 น. คณะรวมพลังแผ่นดินฯ พร้อมเครือข่ายภาคประชาชนจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกการประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 ตุลาคม นี้ เพื่อพิสูจน์ว่ารัฐบาลกัมพูชาจะสามารถปิดบ่อนคาสิโนและปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่เชื่อมโยงนักการเมืองไทยได้จริงหรือไม่

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img