กูรูธุรกิจ แนะ ต้องสร้างคนที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางวิกฤต

492

กรุงเทพฯ, วันที่ 14 ต.ค. – สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน Future Forum 2025: The Great Transformation โดยมี ผู้บริหาร กูรูเศรษฐกิจ ภาคเอกชนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ โดยส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าการบริหารธุรกิจยุคใหม่ต้องมีการวางกลยุทธ์เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤต ทีมงานต้องมีความพร้อมในการพัฒนาทักษะ และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตท่ามกลางวิกฤตที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี กล่าวในหัวข้อ “No Time to Fail: Be Crisis-Ready” ว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจต้องมีการวางกลยุทธ์อย่างยืดหยุ่น (Strategic Resilience) เพื่อให้สามารถรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และต้องสามารถกลับมาแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ที่ผ่านมาเมื่อเผชิญภาวะวิกฤต เราแค่ผ่านมาได้ แต่ธุรกิจเราไม่มีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ เพราะฉะนั้นในการบริหารธุรกิจหรือบริหารประเทศ เราต้องมีกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่น และพร้อมที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และทำให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

นายอัศวิน กล่าวว่า การบริหารองค์กรโดยการวางกลยุทธ์อย่างยืดหยุ่นต้องพิจารณาประเด็นหลัก ๆ ดังนี้ ประเด็นแรก คือ การเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก (Global Geopolitics) ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าและการลงทุน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของธุรกิจ (Business Megatrends) ที่มาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ในอดีตถ้าธุรกิจค้าปลีกต้องการเพิ่มยอดขาย คือ ต้องเพิ่มจำนวนสาขา แต่ปัจจุบันการเพิ่มยอดขายไม่จำเป็นต้องเพิ่มสาขา แต่สามารถขายผ่านทางออนไลน์ได้ การนำเทคโนโลยีทั้งดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ (Digital Transformation) และการบริหารจัดการบุคลากร (Empowerment at Scale) ที่เหมาะสมกับโครงสร้างธุรกิจ

“ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น ผมมองว่า มีโอกาสเสมอ ถ้าเราเตรียมความพร้อมขององค์กร มีการทำแผนกลยุทธ์ที่รับมือกับธุรกิจกรณีที่แย่ที่สุด ก็จะสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านวิกฤตได้โดยที่องค์กรยังคงมีความแข็งแกร่งที่จะเติบโตต่อไป ไม่ใช่แค่บริหารองค์กรผ่านวิกฤต แล้วศักยภาพในการดำเนินของภาคธุรกิจหรือประเทศลดลง เหมือนที่ผ่านมา” นายอัศวิน กล่าว

ด้านนางกานติมา เลอเลิศยุติธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AISให้ความเห็นในเวทีสัมมนาหัวข้อ “Talent Strategy 2030 – The Future of Hiring, Skilling & Retention” ว่า สิ่งที่ AIS ให้ความสำคัญ คือ เรื่องการพัฒนาบุคลากร ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การปรับโครงสร้างองค์กรของ AIS มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก บริษัทได้พลิกโฉมจากการเป็นบริษัทด้านโทรคมนาคมที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน มาสู่การให้บริการทางการเงิน ในฐานะสถาบันการเงินในแบบของ Virtual Bank ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ อย่างแรกที่ต้องเปลี่ยนคือ โครงสร้างของส่วนงานทรัพยากรบุคคล (HR) เพื่อสร้างบุคลากรที่เป็นผู้กำหนดทิศทางขององค์กร

(ขอบคุณภาพจากเพจ Brand Inside)

“AIS ปรับโครงสร้างฝ่าย HR ให้เป็นส่วนงานที่คัดเลือกบุคลากรที่ตอบโจทย์กับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร  ที่ผ่านมาผู้บริหารจะเป็นผู้เลือกคนทำงานของตนเอง แต่ระบบใหม่ที่ทาง HR และคณะกรรมการจะเป็นผู้คัดเลือก พนักงานให้กับผู้บริหาร โดยคัดจากทักษะในการทำงานและศักยภาพของบุคลากร ให้ตอบโจทย์กับความต้องการในการขับเคลื่อนองค์กร AIS ให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการทำงานให้กับคนทุกกลุ่มในองค์กร คนที่เป็นบุคลากรที่มีศักยภาพขององค์กร เมื่อเข้าไปทำงานกับผู้บริหาร เป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะดูแลโดยส่วนกลาง เข้าไปทำงานกับผู้บริหารแล้วจะเวียนไปในส่วนงานต่าง ๆ เพื่อที่จะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรในอนาคต” นางกานติมา กล่าว

นอกจากนี้ AIS ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของทีมงานทั้งหมด ทุกคนในบริษัทต้องรู้เรื่องของการใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาองค์กร ในขณะเดียวกัน การออกแบบโครงสร้างการทำงานต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมการทำงานของคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ “คนรุ่นใหม่มีความคิดในการทำงานที่เปลี่ยนไป ไม่ต้องการเป็นพนักงานประจำ ทำให้เกิดระบบการจ้างงานร่วม ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่พัฒนาตัวเองเสมอ ทำให้การทำงานของฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องเปลี่ยนแปลงไป ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำงานร่วมกันระหว่างพนักงานประจำ และระบบการจ้างงานร่วม การวัดผลการทำงานไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งงาน แต่อยู่ที่คุณค่าของงาน ทำให้แนวโน้มของโครงสร้างองค์กรต่อไปจะไม่ได้มีตำแหน่งมากมาย แต่จะวัดกันที่คุณค่าของงานที่ทำมากกว่า” นางกานติมา กล่าว

นางพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวในเวทีสัมมนาเดียวกันว่า ปรัชญาในการทำงานของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือ “ทฤษฏี 3 สูง 1 ต่ำ” ในส่วนของ 3 สูง คือ การพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง, ต้องสร้างคนที่มีศักยภาพสูง และ การให้เงินเดือนสูง ซึ่งเป็นนโยบายที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ต้องนำมาปรับใช้ในการบริหารจัดการบุคลากรขององค์กร ส่วน 1 ต่ำ ต้นทุนทางธุรกิจต้องต่ำ นอกจากนี้ยังมี “3 เพิ่ม 2 ลด” คือ เพิ่มมาตรฐานและคุณภาพสินค้า, การเพิ่มลูกค้าและบริการ และเพิ่มพนักงานที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน และ 2 ลด คือ การลดค่าใช้จ่ายในห่วงโซ่คุณค่าของงานที่ทำ และ การลดกระบวนการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องนำมาใช้ในการสร้างบุคลากรที่ตอบโจทย์ในการขับเคลื่อนองค์กร

“จากโจทย์นี้ สิ่งที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลทำ คือ การลงทุนทางเทคโนโลยี ปรับทักษะการทำงานของพนักงานทั้งหมดให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้ เป้าหมาย คือ พนักงานของเราทั้งหมด 100% ต้องใช้ AI และ ดิจิทัล เทคโนโลยีได้ ในขณะที่โครงสร้างขององค์กรได้มีการพัฒนาทักษะในการทำงานของบุคลากรในองค์กรในการทำงานที่นอกเหนือจากงานประจำ พนักงานที่ทำได้แค่งานประจำก็จะได้คะแนนที่ไม่เกิน 3 จาก 5 การที่จะได้ 4-5 คือ ต้องสร้างงานที่มีมูลค่าเพิ่มจากงานประจำ เป็นโจทย์ที่ทุกคนในองค์กรต้องทำ ในส่วนของผู้บริหารเองก็ต้องเปลี่ยนแปลงจากการเป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้ชี้แนะ เป็นระบบการสนับสนุน เพื่อสร้างศักยภาพของทีมงาน ผู้บริหารเป็นผู้รับผิดชอบแต่ห้ามสั่ง ทั้งหมดเป็นกระบวนการที่ปรับเปลี่ยนแนวคิดในเรื่องของการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้ผ่านการพัฒนาทักษะและการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี ที่เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ” นางพิมลรัตน์ กล่าว

ด้าน นายเอกพล ณ สงขลา รองผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มองถึงภูมิทัศน์ด้าน “คน” ในอนาคต ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคาดการณ์ได้ยาก บุคลากรในองค์กรจำเป็นต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทายนี้ กลับเปิดโอกาสให้กับคนทำงานที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้เร็ว สามารถสร้างสมดุลระหว่าง “ผลลัพธ์” และ “ความสัมพันธ์” ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการทำงานยุคใหม่ พร้อมสร้าง “ความไว้วางใจ” ท่ามกลางโครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อนและความคาดหวังที่หลากหลายจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย

“สำหรับกลยุทธ์ด้านคนของไทยกรุ๊ป อธิบายได้ด้วยความเป็น THAIs ที่สื่อถึง Trust การสร้างความเชื่อใจในการทำงานร่วมกัน  Human Centric การให้ความสำคัญกับคนมากกว่าเทค  Accountability การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  Innovation สอนให้คนสร้างโซลูชันใหม่ ๆ และ Synergy ประสานพลังการทำงาน  โดยทุกอย่างจะเริ่มจากคนก่อน ทำอย่างมีเป้าหมาย สร้างงานใหม่ ๆ อยู่เสมอ และส่งเสริมให้เติบโตจากภายใน โดยเฉพาะคนที่มีความมุ่งมั่นต่อองค์กร” นายเอกพลระบุ

นายวรวัจน์ สุวคนธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงธุรกิจธนาคารซึ่งต้องเผชิญกับปัจจัยต่าง ๆ รอบด้าน ทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก สถานการณ์เปราะบางของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขัน การมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาอย่าง Virtual Bank ทำให้ธนาคารต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI มาปรับใช้ให้ถูกจุด รวมถึงต้องปรับเปลี่ยน “คน” ให้สอดคล้องกับทิศทางขององค์กร ที่กำลังมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่พร้อมรองรับอนาคต (Future-ready Organization)

“สิ่งสำคัญ 3 เรื่องที่ SCB ให้ความสำคัญ คือ Resilience องค์กรต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ธุรกิจหลักต้องแข็งแกร่ง องค์กรต้องมีขนาดที่กระชับคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงลงมืออย่างมีเป้าหมายและรวดเร็ว Productivity เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง เพราะคู่แข่งจะไม่ใช่หน้าเดิม แต่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยี และ Sustainability ทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายวรวัจน์ กล่าว

ผู้บริหารไทยพาณิชย์กล่าวว่า จากทิศทางองค์กรดังกล่าว กลยุทธ์ในการยกระดับประสิทธิภาพองค์กรและพนักงานมีด้วยกัน 5 ด้าน คือ 1) การปรับกระบวนการทำงานให้สอดรับกับโลกอนาคตที่จำนวนพนักงานลดลง แต่ยังต้องคงประสิทธิภาพให้เหมือนเดิมหรือดีขึ้น 2) การยกระดับประสิทธิภาพองค์กร 3) ยกระดับทักษะและความสามารถของพนักงาน เน้นเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI 4) ยกระดับการดูแลสุขภาวะพนักงาน ลดความเครียดทั้งภาวะร่างกายและจิตใจ ซึ่งควรจะเป็นกลยุทธ์ด้าน HR ของทุกองค์กร 5) การนำ AI และ Data เข้ามาใช้ยกระดับประสิทธิภาพการทำงานด้าน HR เพื่อสร้าง Impact ให้กับองค์กร

ทั้งนี้Future Forum 2025: The Great Transformation จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และได้รับการสนับสนุนจาก เอไอเอส อะคาเดมี  บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี  ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)  บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)  บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)  บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด  บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส โกลบอล เซอร์วิสเซส จำกัด  เอสซีจี  บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)