ศึก “สปสช.–มงกุฎวัฒนะ” เดือดกลางวงแถลง! “ทพ.อรรถพร” แจงหนี้ค้างจ่ายไม่ถึง 110 ล้าน ด้าน “นพ.เหรียญทอง” ลั่นถูกเบี้ยว-กติกาไม่แน่นอน พร้อมจับมือยุติศึกท้ายงาน

554

สปสช. แถลงชี้แจงกรณีค้างจ่ายงบให้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ หลัง “นพ.เหรียญทอง แน่นหนา” โพสต์ทวงหนี้ 110 ล้านบาท ด้าน “ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ” รองเลขาธิการ สปสช. ยอมรับมีหนี้ค้างจริงแต่เพียงกว่า 70 ล้านบาท พร้อมเร่งเคลียร์ภายใน 17 ต.ค. ขณะ “นพ.เหรียญทอง” ยืนยันยอดหนี้ 110 ล้านไม่คลาดเคลื่อน ชี้ระบบเบิกจ่ายไม่ชัดเจน-กติกาเปลี่ยนกะทันหัน แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายจับมือเคลียร์ใจกันกลางเวที

วันที่ 9 ตุลาคม 2568 — ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. แถลงข่าวชี้แจงกรณีปัญหาค้างชำระงบประมาณแก่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ หลัง พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกมาโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทวงหนี้ค้างกว่า 110 ล้านบาท

ทพ.อรรถพร ระบุว่า สปสช. ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในรูปแบบ “เหมาจ่ายรายหัว” ซึ่งเป็นงบประมาณแบบปลายปิด หมายความว่า หน่วยบริการต้องให้บริการประชาชนไปก่อน แล้วจึงเบิกค่าใช้จ่ายย้อนหลัง โดยหากงบประมาณไม่เพียงพอ สปสช. จะดำเนินการขอจัดสรรงบเพิ่มเติมจากงบกลางของรัฐ ซึ่งรอบล่าสุดอยู่ระหว่างการเบิกประมาณ 8,000 ล้านบาท

สำหรับยอดหนี้ที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะนั้น ทพ.อรรถพร ชี้แจงว่า ปัจจุบันมียอดคงค้างจริงประมาณ 70 ล้านบาท ไม่ใช่ 110 ล้านบาทตามที่ นพ.เหรียญทองระบุ โดยแยกเป็น​ หนี้จากปี 2563 จำนวน 8.9 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากกรณีการยกเลิกคลินิกชุมชนอบอุ่นที่พบการทุจริตกว่า 200 แห่ง และอยู่ระหว่างการฟ้องร้องติดตามหนี้คืน,หนี้จากปี 2567 ประมาณ 40 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบและปรับเกณฑ์การจ่ายเงินใหม่และหนี้ปี 2568 ประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการเบิกจ่ายและคำนวณยอดเรียกคืน

ทั้งนี้ ทพ.อรรถพร ยืนยันว่า “สปสช. ไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ” และอยู่ระหว่างการเร่งเคลียร์ยอดคงค้างให้แล้วเสร็จภายใน วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคมนี้ พร้อมเผยว่าทั้งประเทศมีหนี้ค้างจ่ายหลายพันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากระบบคำนวณงบใหม่และเกณฑ์จ่ายเงินกลุ่มผู้ป่วยใน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการแถลง พล.ต.นพ.เหรียญทอง ได้เดินทางมาร่วมฟังและขอชี้แจงด้วยตนเอง โดยยืนยันว่า ยอดหนี้ค้างจ่ายของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะอยู่ที่ 110 ล้านบาทเต็มจำนวน แบ่งเป็นหนี้ปี 2563 ประมาณ 8.9 ล้านบาท, ปี 2567 ประมาณ 40 ล้านบาท และปี 2568 ราว 70 ล้านบาท

นพ.เหรียญทอง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “สิ่งที่ สปสช. ทำถือเป็นการเบี้ยวหนี้และคดโกง เพราะเปลี่ยนเกณฑ์จ่ายเงินโดยไม่แจ้งล่วงหน้า” พร้อมระบุว่า การเปลี่ยนระบบ “Point System” โดยไม่หารือกับคู่สัญญา ทำให้โรงพยาบาลถูกเรียกคืนเงินกว่า 38 ล้านบาท และส่งผลให้ต้องยกเลิกการให้บริการคลินิก 35 แห่ง กระทบประชาชนกว่า 200,000 คน

ทั้งนี้ นพ.เหรียญทอง เสนอเงื่อนไข 2 ข้อเพื่อยุติความขัดแย้ง ได้แก่​ให้ สปสช. ชำระหนี้คงค้างปี 2563 จำนวน 8.9 ล้านบาท และปี 2567 อีก 40 ล้านบาทก่อน​ ส่วนหนี้ปี 2568 ยินดีรอการดำเนินการตามระบบ

ด้าน ทพ.อรรถพร ตอบรับข้อเสนอ โดยจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต (อปสข.) และเสนอเข้าบอร์ด สปสช. เพื่อหาทางออกโดยเร็วที่สุด

ขณะเดียวกัน นพ.เหรียญทอง ยังเตือนว่า หลายโรงพยาบาลคู่สัญญาอาจได้รับผลกระทบจากการปรับเกณฑ์ใหม่โดยไม่รู้ตัว และอาจตัดสินใจถอนตัวจากระบบบัตรทอง หากไม่ได้รับความชัดเจนจาก สปสช.

ท้ายสุด หลังการแถลง ทั้งสองฝ่ายได้ลุกขึ้นจับมือพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว โดย นพ.เหรียญทอง กล่าวกับ ทพ.อรรถพร ว่า

“คนเราโกรธกันได้ เกลียดกันได้ แต่ถ้ามีเหตุผล วันหนึ่งเราก็คืนดีกันได้”

ถือเป็นภาพปิดฉากการแถลงข่าวที่เริ่มต้นด้วยความตึงเครียด แต่จบลงด้วยสัญญาณแห่งการร่วมมือเพื่อผู้ป่วยสิทธิ์บัตรทองทั่วประเทศ