มวลชนบุกสภา ร้อง “ทวี” ช่วงเร่งออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หลัง ปชช.ตกเป็นเหยื่อ นโยบาย “ทวงคืนที่ดิน” ยุค คสช. 48,000 คดี

476

รัฐสภา, วันที่ 9 ตุลาคม – เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า และนโยบายด้านป่าไม้และที่ดินของรัฐ ร่วมกับ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ได้ยื่นหนังสือต่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ในฐานะประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรฯ เพื่อให้เร่งออก กม.ดังกล่าว โดยมี นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.พรรคประชาชน และ นายซูการ์โน มะทา เลขาธิการ และ สส.ยะลา เพรรคประชาชาติ ในฐานะ รองประธานกมธ.ร่วมรับหนังสือด้วย

ตัวแทนเครือข่ายฯ ได้เปิดเผยถึงผลกระทบจากการดำเนินงานตามนโยบายจัดการที่ดินและป่าไม้ของรัฐที่ผ่านมา ว่าได้สร้างความเสียหายต่อ คนจน ผู้ยากไร้ กลุ่มชาติพันธุ์ และคนชายขอบ เป็นจำนวนมาก พวกเขาต้องเผชิญกับชีวิตที่ไร้ความมั่นคงเนื่องจากถูกแนวเขตที่ดินของรัฐทับที่ทำกิน ทั้งที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ก่อนการประกาศเขตป่าของรัฐ ทำให้ประชาชนที่เคยเป็น ผู้บุกเบิก กลับกลายเป็น ผู้บุกรุก ในที่ดินของตนเอง ในขณะที่การประกาศเขตป่ากลับพบว่า นายทุน ผู้มีอิทธิพล และคนร่ำรวย ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย ได้ยึดครองที่ดินจำนวนมาก ส่วนคนจนกลับไม่มีที่ทำกิน และถูกคุกคามด้วยการดำเนินคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรัฐประหารปี 2557 ที่มีคดีจากนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” เกิดขึ้นกว่า 48,000 คดี

เครือข่ายฯ ชี้ว่า นโยบายทวงคืนผืนป่าเป็น รูปธรรมความล้มเหลว ของการจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบรวมศูนย์ผูกขาดของรัฐ ที่ไม่สามารถจัดการกับกลุ่มนายทุนที่บุกรุกผืนป่าได้จริง แต่กลับมาดำเนินคดีกับคนจนผู้ยากไร้แทน ประชาชนเหล่านี้คือ “เหยื่อ” ของนโยบายรัฐที่ผิดพลาด ทำให้ครอบครัวล่มสลายและมีปัญหาหนี้สิน ทั้งที่พวกเขาคือผู้สร้างประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้วยการทำมาหากินโดยสุจริตบนที่ดินของบรรพบุรุษ พวกเขามิใช่นายทุนหรืออาชญากรของแผ่นดิน

ทั้งนี้เครือข่ายฯ ขอให้ เร่งผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ฉบับนี้ เพื่อ คืนสิทธิและความเป็นธรรม ให้กับผู้ได้รับผลกระทบ และสร้างความสันติสุขบนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนสากล โดยเน้นย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่สภาฯ ต้องร่วมกันสร้างความถูกต้องเรื่องแนวเขตที่ดินของรัฐภายใต้หลักประชาธิปไตย เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน

ด้านพันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า กมธ. กำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบด้าน รวมถึงการกำหนดโทษความผิดในกรณีที่รัฐรังแกประชาชน หรือการประกาศเขตป่าหรืออุทยานฯ ที่ทับที่ของประชาชนที่อยู่มาก่อน โดยพบว่ามีชุมชนจำนวนมากถูกประกาศทับพื้นที่ ทำให้ประชาชนจาก “เจ้าของ” กลายเป็น “ผู้อยู่อาศัย” ท่านหวังว่าจะสามารถพิจารณาแล้วเสร็จภายในปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยมองว่าการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดกลุ่มนี้ ซึ่งเป็น ผู้เสียหาย ด้วยซ้ำ จะช่วย “ล้างมลทิน” และเชื่อว่าจะเป็นการแยกแยะระหว่างที่ดินของรัฐกับพื้นที่ป่าได้อย่างชัดเจน ท่านยังเรียกร้องให้ผู้ที่ยังรู้สึกสุดโต่งเข้ามารับฟัง กมธ. โดยย้ำว่ารัฐจะเพิ่มพื้นที่ป่าให้ถึง 40% ของพื้นที่ประเทศ และต้องเข้าใจว่าคนจะอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างไร

ขณะที่นายเลาฟั้ง ได้สรุปประเด็นสำคัญ 3 ข้อ ว่า 1) ผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือชาวบ้าน มีนายทุนน้อยมาก 2) มีการกลั่นกรองร่าง กม.อย่างละเอียดและ 3) นี่คือกระบวนการนิติบัญญัติเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบหรือถูกรัฐรังแกจากนโยบายดังกล่าว โดยนายเลาฟั้งย้ำว่ารัฐอ้างว่าพวกเขาเป็นนายทุน แต่ความจริงแล้วเป็นชาวบ้านปกติ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมจึงเป็นหนทางเดียวในการคืนสิทธิให้พวกเขา