ที่ กองบังคับการปราบปราม พันตำรวจเอก จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รองผบก.ป.) พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ธงชัย อยู่เกษ ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม (ผกก.1 บก.ป.),พันตำรวจตรี พลปพัฒน์ ภู่พูลทรัพย์ สารวัตรกองกำกับการ 1 กองปราบปราม (สว.กก.1 บก.ป.),ร้อยตำรวจเอก หญิง กัญจิรา นรสาร รองสารวัตรกองกำกับการ 3 กองปราบปราม (รองสว.กก.3 บก.ป.),ร้อยตำรวจเอก ฉัตรชัย เหมวิลัย รองสารวัตรกองกำกับการ 1 กองปราบปราม (รองสว.กก.1บก.ป.) และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ศปจร.ก.) ร่วมกันแถลงข่าวผลการตรวจยึดรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่น อี 250 ซีดีไอคูเป้หมายเลขทะเบียน ญว 65 กทม. หมายเลขตัวถังรถ WDD2073472F134325 ซึ่งเป็นรถแฝดผิดกฎหมายที่สวมทะเบียนและนำไปใช้ในการกระทำความผิดกฎหมายจราจร สร้างความเสียหายให้แก่ เจ้าของทะเบียนและรถยนต์ตัวจริง
พันตำรวจเอก จรูญเกียรติ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจาก น.ส.ช่อทิพย์ สักกวาที ผู้เสียหาย พร้อมด้วยนาย.ชลิษฐ์ สักกวาที เดินทางเข้าร้องทุกข์กับทางพลตำรวจตรี จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ให้ช่วยดำเนินการตรวจสอบ กรณีมีใบสั่งการกระทำความผิดกฎหมายจราจรจำนวน 4 ใบส่งมาที่บ้านของตน โดยใบสั่งระบุรุ่นรถ สี และทะเบียนตรงกัน ซึ่งเชื่อว่ามีการเอาแผ่นป้ายทะเบียนของตนไปสวมรถยนต์รุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งทางพล.ต.ต.จิรภพฯ ได้สั่งการให้ชุดสืบสวน กก.1บก.ป. สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ ศปจร.ก. ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อมาชุดสืบสวนได้สืบทราบว่ารถดังกล่าวได้ไปจอดอยู่ที่บริเวณลานจอดรถหน้าร้านเรือนพระยา ถ.เลียบทางด่วน-รามอินทรา ซ.ประดิษฐ์มนูธรรม 19 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.จึงได้นำกำลังไปตรวจสอบ ระหว่างนั้นก็พบนายวัฒน์ แซ่อู๋ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 555/101 ถ.ประชาพัฒนา แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง แสดงตนเป็นเจ้าของรถดังกล่าว
จากการสอบถามเบื้องต้นนายวัฒน์ ให้การว่า รถคันดังกล่าวเป็นของเพื่อนตน ซื้อมาจากเพจขายรถยนต์แห่งหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท ซึ่งได้ยืมมาขับเป็นการชั่วคราว โดยเบื้องต้นทางนายวัฒน์ไม่สามารถนำเอกสาร สำเนาคู่มือการจดทะเบียนรถมาแสดงความเป็นเจ้าของได้ ตำรวจกองปราบปรามจึงได้ทำการยึดอายัดรถคันดังกล่าวมาทำการตรวจสอบ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปี มีการดัดแปลงเลขตัวถังรถ โดยมีร่องรอยของการขูดขีด
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะทำการส่งรถที่ตรวจยึดมาได้ให้ทางกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อทำการตรวจสอบ รวมทั้งขยายผลว่ารถคันดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนดำเนินการ แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเบื้องต้นหากพบว่ามีการปลอมแปลงแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปี ผู้ครอบครองรถต้องถูกดำเนินคดี ในฐานปลอมแปลงหรือใช้เอกสารราชการปลอม มีโทษจำคุก ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี ปรับสูงสุด 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนขยายผลหากพบว่ามีข้าราชการในสังกัดใดเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น
พ.ต.ต.พลปพัฒน์ฯ กล่าวว่า ฝากเตือนประชาชนที่มีความต้องการในการซื้อรถยนต์ทั้งจากเต็นท์รถมือสองหรือทางอินเตอร์เน็ต จะต้องมีการตรวจสอบตัวรถจริงโดยเฉพาะเลขตัวรถ เลขเครื่องยนต์ ว่ามีการดัดแปลงขูดลบแก้ไขหรือไม่ พร้อมทั้งนำไปตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนเบื้องต้นกับกรมขนส่งทางบกด้วยว่าตรงกันหรือไม่ ก่อนจะตกลงซื้อขายกัน ซึ่งการที่รถที่ซื้อมานั้น หากไม่สามารถจดทะเบียนหรือต่อภาษีผ่านตามระเบียบขั้นตอนของทางราชการที่ถูกต้อง ได้ด้วยตนเองก็ขอให้พึงระวัง อยากให้ประชาชนตระหนักถึงความน่าจะเป็นว่าของดี ของถูก ไม่มีในโลก
ขณะที่ นายชลิษฐ์ฯ กล่าวว่า ตนซื้อรถคันนี้จดทะเบียนในชื่อน.ส.ช่อทิพย์ สักกวาที บุตรสาวของตน เมื่อ 7 ปีที่แล้วในราคา 4ล้านบาทไม่เคยมีปัญหาอะไร กระทั่งวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมาได้รับใบสั่งจากเจ้าหน้าที่ว่ามีการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งวันเวลาดังกล่าวไม่ได้ไปที่เกิดเหตุที่โดนใบสั่ง จึงได้ไปแจ้งความไว้ที่สน.สามเสน พร้อมระบุให้เจ้าหน้าที่ทราบชัดเจนว่ารถคันดังกล่าวที่กระทำความผิดไม่ใช่ของตน ซึ่งความแตกต่างแม้จะรถยี่ห้อเดียวกันหรือสีเดียวกัน ป้ายทะเบียนเดียวกัน แต่ความแตกต่างจะอยู่ตรงป้ายทะเบียน ที่รถของตนจะมีกรอบป้ายสีเงิน แต่อีกคันของผู้ต้องหาจะมีสีดำ
นอกจากนี้ลักษณะบางอย่างยังไม่ตรงกัน เช่นไฟเดย์ไลท์ หรือเบาะคนขับ ซึ่งน่าจะเป็นการตั้งใจสวมทะเบียนและนำไปกระทำความผิด ตน จึงได้ลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ แต่แล้วต่อมาตนก็ได้รับใบสั่งอีกในวันที่ 3 กันยายน ว่าตนขับรถทับเส้น และยังมีใบสั่งส่งมาอีก 2 ใบในวันที่ 27 ตุลาคม ซึ่งตนได้ลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกครั้งเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ และเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดกฎหมายจึงได้มาร้องทุกข์ต่อกองปราบปราม อย่างไรก็ตามหลังทราบว่าตำรวจกองปราบปรามได้ดำเนินการยึดรถฝาแฝดของตนได้ก็รู้สึกโล่งใจและขอขอบคุณที่ช่วยคลี่คลายคดีนี้
มีรายงานว่าสำหรับ นายชลิษฐ์ สักกวาที เป็นอดีตข้าราชการสังกัดกองทัพเรือ ยศ พล.ร.อ. โดยจบการศึกษาเตรียมทหารรุ่น 14 นักเรียนนายเรือรุ่น 71 ซึ่งมีเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร อย่าง บิ๊กแจ๊ด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผบช.น. เป็นต้น
Cr.เจริญผล เอี่ยมพึ่ง